วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557

บทที่ 1 การเจริญเติบโตของร่างกาย

การเจริญเติบโตของมนุษย์
           พืชและสัตว์มีการเจริญเติบโตตัวเราก็มีการเจริญเติบโตเช่นเดียวกับต้นพืช  เมื่อก่อนเราตัวเล็ก  เดี๋ยวนี้เราตัวโตขึ้น  ที่เราตัวโตขึ้น  เพราะเราได้กินอาหารทุกวัน   อาหารที่เหมาะสม  และช่วยให้เด็กๆ  อย่างพวกเราเจริญเติบโตได้ดีชนิดหนึ่ง  คือ   นม  การรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์จะช่วยให้ร่างกายของเราเจริญเติบโตและแข็งแรง  สิ่งที่แสดงให้เห็นว่าร่างกายของเรามีการเจริญเติบโต   คือ   การมีน้ำหนักและส่วนสูงเพิ่มขึ้น ความสูงของร่างกายคนเรา  จะเพิ่มขึ้นอย่างพอเหมาะกับน้ำหนักตัวเรา   เด็กผู้หญิงจะมีส่วนสูงเต็มที่เมื่อมีอายุระหว่าง  14 – 15 ปี หลังจากนั้นก็จะสูงเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย ส่วยเด็กผู้ชายส่วนสูงจะเพิ่มขึ้นที่เมื่ออายุระหว่าง 17 – 18 ปี หลังจากนั้นส่วนสูงจะเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย



 1. การเจริญเติบโตของร่างกายในวัยต่างๆ 
           ร่างกายคนเรา มีการเจริญเติบโตจากวัยทารกสู่วัยเด็ก วัยรุ่น และวัยผู้ใหญ่ ซึ่งในแต่ละวัยขนาดของร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงแตกต่างกันไป
การเจริญเติบโตทางร่างกายของคนเรา สักเกตได้จากสิ่งต่อไปนี้
1.               น้ำหนัก
2.               ส่วนสูง
3.               ความยาวของลำตัว
4.               ความยาวของช่วงแขนเมื่อกางเต็มที่
5.               ความยาวของเส้นรอบวงศีรษะ
6.               ความยาวของเส้นรอบอก
7.               การขึ้นของฟันแท้

 เด็กวัยทารกหรือเด็กวัยแรกเกิด
          เด็กวัยแรกเกิดจะมีอายุอยู่ในช่วงตั้งแต่แรกเกิดจนถึงสามปี จะมีการเจริญเติบโตโดยมีสัดส่วนของศีรษะต่อลำตัวเป็น 1 ต่อ 4



เด็กก่อนวัยเรียน



          ในวัยนี้จะมีอายุอยู่ในช่วง 3 -6 ปี รูปร่างและสัดส่วนของเด็กจะเปลี่ยนไปจากวัยแรกเกิด ดังนี้ รูปร่างค่อยๆ ยืดตัวออกใบหน้าและศีรษะเล็กลงเมือเทียบกับลำตัว มือและเท้าใหญ่และแข็งแรง อกและไหล่ขยายกว้างขึ้น แต่หน้าท้องแฟบลง 
เด็กวัยเรียน
เด็กในวัยเรียนอายุระหว่าง 6 – 12 ปี จะมีการเจริญเติบโต ดังนี้น้ำหนักโดยเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นประมาณ 2 – 3 กิโลกรัมต่อปี ส่วนสูงเพิ่มประมาณ 4 – 5 เซนติเมตรต่อปี ฟันน้ำนมจะเริ่มหักเมื่ออายุประมาณ 6 ปี และจะมีฟันแท้ขึ้นมาแทนที่

เด็กวัยรุ่น
 เด็กวัยรุ่นจะมีอายุอยู่ในช่วงอายุประมาณ 10 ปีขึ้นไป จนถึงอายุประมาณ 20 ปี ระยะวัยรุ่นจัดว่าเป็นวัยที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นวัยที่ร่างกายและจิตใจเริ่มเปลี่ยนจากวัยเด็กเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ จึงจัดว่าเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญของชีวิต ซึ่งถ้าวัยรุ่นไม่ได้รับการแนะนำอย่างถูกต้อง อาจทำให้ประพฤติในสิ่งที่ผิดไดเมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่น ทั้งเพศชายและเพศหญิงจะมีการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ดังนี้ เพศชาย จะมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เมื่ออายุประมาณ 15 ปี ร่างกายจะขยายใหญ่ขึ้นมีกล้ามเนื้อขึ้นเป็นมัด แขนขาขาวใหญ่ขึ้น มีหนวดเครา นมแตกพานเสียงห้าว มีขนขึ้น เพศหญิง จะมีส่วนสูงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เมืออายุประมาณ 15 ปี หน้าอกจะขยายใหญ่ขึ้น เอวคอด สะโพกพาย ใบหน้าและผิวพรรณเปล่งปลั่งขึ้น มีสิวขึ้นที่ใบหน้าและมีประจำเดือน 

การติดตามดูแลการเจริญเติบโตของตนเอง
           การเจริญเติบโตของคนเรา เป็นสิ่งที่บ่งบอกเกี่ยวกับสุภาพของร่างกายของคนคนนั้น เพราะถ้าร่างกายมีการเจริญเติบโตที่เหมาะสมกับวัย ก็จะทำให้คนคนนั้นสามารถพัฒนาจากวัยหนึ่งไปสู่อีกวัยหนึ่งได้อย่างเหมาะสม ดังนั้นเราจึงต้องรู้จักติดตามดูแลและสังเกตการณ์เจริญเติบโตทางร่างกายของตนเองอยู่เสมอ
การติดตามดูแลการเจริญเติบโต
1.       ชั่งน้ำหนักและวัดส่วนสูงของตนเองอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง
2.       สำรวจตนเองและจดบันทึกการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและนำมาเปรียบเทียบกับเพื่อนในวัยเดี่ยวกัน
3.      ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพร่างกายประจำปี เป็นประจำทุกๆ ปี
            การติดตามดูแลการเจริญเติบโตของตนเอง จะทำให้เราทราบว่าตนเองมีการเจริญเติบโตทางร่างกายเป็นไปตามวัยหรือไม่ และถ้าพบว่าตัวเรามีปัญหาด้านสุขภาพก็จะทำให้สามารถไปปรึกษาแพทย์ได้ตั้งแต่เบื้องต้น 

       วัยรุ่น
  คำจำกัดความ คำว่า วัยรุ่นมีความหลากหลาย เนื่องจากขึ้นกับความแตกต่างของขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒธรรม ตลอดจนความแตกต่างทางสังคม และการเปลี่ยนแปลงทางสรรีวิทยา ของวัยรุ่นในแต่ละแห่ง อย่างไรก็ตาม องค์กรอนามัยโลก ได้กำหนดความหมายกว้างๆ ของวัยรุ่นไว้ดังนี้

วัยรุ่น หมายถึง ช่วงอายุที่มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย ในลักษณะที่พร้อมจะมีเพศสัมพันธ์ได้
วัยรุ่น เป็นระยะที่มีการพัฒนาทางจิตใจมาจากความเป็นเด็ก ไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่
วัยรุ่น เป็นระยะที่มีการเปลี่ยนแปลงจากสภาพ ที่ต้องพึ่งพาทางเศรษฐกิจไปสู่ภาวะที่ต้องรับผิดชอบและพึ่งพาตนเอง
วันนี้จึงครอบคลุมอายุโดยประมาณ คือ เด็กหญิง ระหว่างอายุ 10 – 20 ปี และเด็กชายระหว่างอายุ 12 – 22 ปี เนื่องจากช่วงวัยดังกล่าวค่อนข้างยาว ทางการแพทย์และจิตวิทยาพัฒนาการจึงแบ่งช่วงดังกล่าว ออกเป็น 2 – 3 ระยะ (แล้วแต่หลักเกณฑ์ของผู้เชี่ยวชาญ) เนื่องจากระยะต้นกับระยะปลายของวัย เด็กจะมีการเจริญเติบโต ทั้งกายและจิตใจ อารมณ์ แตกต่างกันมาก ในที่นี้จะแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ

         วัยรุ่นตอนต้น เด็กผู้หญิงอยู่ในช่วงอายุ 10 – 14 ปี เด็กผู้ชายอยู่ในช่วงอายุ 12 –16 ปี ในระยะนี้มีการเปลี่ยนแปลง คือ

มีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายอย่างรวดเร็ว เช่น เด็กหญิงจะมีเต้านมใหญ่ขึ้น มีประจำเดือนมีการสร้างฮอร์โมนอีสโตรเจน และโปรเจสเตอโรน มีขนตามรักแร้และอวัยวะเพศภายนอกมีรูปร่างสูงใหญ่
ค่อนข้างหลงตัวเอง (Narcissistic phase)
มีความเพ้อฝัน (Magical Thinking)
มีความเป็นอิสระ (Emancipation) แต่ยังต้องพึ่งพาพ่อแม่ ยังสนใจเพศเดียวกัน

         วัยตอนกลาง เด็กผู้หญิงอยู่ในช่วง 14 –18 ปี เด็กผู้ชายในช่วงอายุ 16 – 20 ปี ในระยะนี้มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ คือ

เป็นระยะที่ดื้อรั้น โมโหง่าย มักจะมีความขัดแย้งกับพ่อแม่สูง
เพื่อมีอิทธิพลสูง
เริ่มสนใจเพศตรงข้าม
การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเริ่มสมบูรณ์เต็มที่
เป็นระยะที่เริ่มทดลองเกี่ยวกับเพศ ซึ่งถ้าขาดความรู้และการป้องกันจะก่อให้เเกิดปัญหาตั้งครรภ์ที่ไม่พึงปรารถนา หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รวมทั้งโรคเอดส์
ยังคงมีความคิดเพ้อฝัน
        วัยรุ่นระยะนี้จึงมีปัญหามากและบ่อยที่สุด


         วัยรุ่นตอนปลาย เด็กหญิงอยู่ในช่วงอายุระหว่าง 18 – 20 ปี เด็กผู้ชายอยู่ในช่วง 20 – 22 ปี เป็นระยะที่เจริญเติบโตเข้าสู่วัยผู้ใหญ่เต็มที่ ดังนั้นระยะนี้จึงมีลักษณะ

รู้จักบทบาทของเพศเองเต็มที่
มีความเป็นอิสระเต็มที่ในการดำรงชีวิต และการประกอบอาชีพ
ค่อนข้างยอมรับการให้คำแนะนำได้ง่ายกว่าวัยต้นๆ
ให้ความสนใจต่อคำแนะนำต่างๆ รวมทั้งเรื่องการป้องกันปัญหาการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสม
        เมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่น จะมีการเปลี่ยนแปลงทั้งด้าน ร่างกาย ด้านจิตใจหรืออารมณ์ ด้านสังคม และด้านสติปัญญา ซึ่งพอจะกล่าวได้ ดังนี้

[แก้ไข] การเปลี่ยนแปลงด้านร่างกาย
        ในช่วงวัยรุ่นเด็กหญิง เด็กชาย จะเกิดการเปลี่ยนแปลง ด้านร่างกายทั้งรูปร่าง เสียง ความสูง และน้ำหนัก กล่าวคือ ทั้งสองเพศจะมีความสูงและน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างเห็นได้ชัด เด็กหญิงจะเริ่มมีประจำเดือน สะโพกขยายออก เอวคอด หน้าอกโตขึ้น เสียงหวานแหลม มีขนขึ้นที่อวัยวะเพศ

        ส่วนเด็กชายจะเริ่มมีน้ำอสุจิ มีการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง มีหนวดเครา มีขนขึ้นที่อวัยวะเพศ รักแร้ เสียงแตกพร่า กล้ามเนื้อแข็งแรง หน้าอกและไหล่กว้างขึ้น วัยรุ่นชาย จะตัวสูงขึ้นและน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว กล้ามเนื้อแข็งแรง หน้าอกและไหล่กว้างขึ้น มีหนวดเครา มีขนขึ้นที่อวัยวะเพศและรักแร้ วัยรุ่นหญิง จะตัวสูงขึ้นและ น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สะโพกขยาย เอวคอด และ หน้าอกโตขึ้น

 การเปลี่ยนแปลงด้านจิตใจและอารมณ์
        จากการเปลี่ยนด้านร่างกายที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้วัยรุ่นเกิดความรู้สึกวิตกกังวล ในรูปร่างหน้าตาของตน และยิ่งเกิดปัญหาสิวหนุ่มสิวสาว ความวิตกกังวลก็จะยิ่งมีมากขึ้น พ่อแม่ ผู้ปกครองควรให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการดูแลรักษา ความสะอาดใบหน้า สำหรับลูกสาววัยรุ่น แม่ควรแนะนำ วิธีดูแลรักษาความสะอาดในช่วงของการมีประจำเดือนด้วย ลักษณะทางอารมณ์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของวัยรุ่น คือ การมีอารมณ์ที่เรียกว่า พายุบุแคม คือ มีความรุนแรงแต่ อ่อนไหวไม่มั่นคง ถ้าต้องการจะทำอะไรก็ต้องทำให้ได้ ถ้าถูกขัดขวางจะตอบโต้อย่างรุนแรง แต่ความต้องการนั้น จะเปลี่ยนแปลงได้ง่าย หันเหไปสู่ความต้องการความสนใจ ใหม่ ๆ อยู่เสมอ พ่อแม่ต้องรู้เท่าทันอารมณ์ของวัยรุ่น รู้จัก โอนอ่อนผ่อนตามอย่างเหมาะสม เมื่อเห็นน้ำเชี่ยวก็อย่าเอาเรือ ไปขวาง แต่จงใช้ความเข้าใจ ความเห็นอกเห็นใจ เป็นเครื่องค้ำจุน ให้วัยรุ่น สามารถผ่าน พ้นอันตราย อันเกิดจากลักษณะทางอารมณ์ ของวัยนี้ไปได้อย่างปลอดภัย

 การเพิ่มความต้องการทางเพศ
        การเพิ่มความต้องการทางเพศ ทำให้วัยรุ่นเกิดความ สนใจในเพื่อนต่างเพศ ต้องการให้ตนเป็นที่รู้จัก เป็นที่สนใจ ของต่างเพศ ต้องการความรู้เพศศึกษา และการแนะนำในการเตรียม ตัวเข้าสังคมวัยรุ่นชายและหญิง

 การเปลี่ยนแปลงทางสติปัญญา
        ความเปลี่ยนแปลงทางสติปัญญาของวัยรุ่น จะพัฒนาขึ้น อย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับด้านร่างกาย ขนาดของมันสมองจะ ขยายออกมากขึ้น วัยรุ่นจึงเป็นผู้ชอบคิด อยากรู้อยากเห็น ช่างซักถาม ใช้เหตุผล และแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ วัยรุ่นจะชอบ แก้ปัญหา และตัดสินใจทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง มีความรับผิดชอบ บิดามารดาต้องให้การสนับสนุน ปล่อยให้ลูกได้ใช้ความคิดเป็นของตนเอง และความคิดสร้างสรรค์ก็จะสูงขึ้นได้

 การเปลี่ยนแปลงความต้องการทางสังคม
        เมื่อวัยรุ่นพบความแปลกใหม่ในร่างกายของตน ก็จะมีความ ไม่แน่ใจ มีความทุกข์ ต้องการปรับตัวให้เหมาะสม จึงหันหน้าเข้า หาผู้ที่มีปัญหาเดียวกัน คือ เพื่อนรุ่นเดียวกัน วัยรุ่นจึงเห็นความสำคัญ ของเพื่อนวัยรุ่น เชื่อเพื่อนมาก และเชื่อพ่อแม่น้อยลงในการเล่นของวัยรุ่น อาจทำตัวอ่อนกว่าวัยเพราะในจิตใจวัยรุ่นต้องการกลับเป็นเด็กอีก ไม่อยากเติบโต ไม่อยากเข้าสังคมใหม่ ความสัมพันธ์ระหว่างวัยรุ่น กับพ่อแม่จะเปลี่ยนรูปแบบไป วัยรุ่นไม่ต้องการให้พ่อแม่บังคับ ควบคุมตนเองอย่างแต่ก่อน แต่ต้องการผู้ช่วยคิดช่วยแนะนำและอยาก ให้พ่อแม่เป็นเพื่อนที่ดีของตนวัยรุ่นต้องการความเป็นอิสระและ การเป็นหัวหน้าครอบครัวและหัวหน้างานต่อไป พ่อแม่จึงต้องเปลี่ยน เป็นผู้แนะนำมากกว่าผู้ออกคำสั่งและ ควบคุมเข้มงวดอย่างแต่ก่อน วัยรุ่นจะเปรียบเทียนคุณสมบัติของพ่อแม่กับผู้ใหญ่อื่น ๆ พ่อแม่ ขาดคุณสมบัติใด วัยรุ่นก็จะไปหาได้จากครูหรือผู้มีชื่อเสียงในสังคม 
การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์
        ในช่วงวัยรุ่นอาจกลับไปมีลักษณะใจเร็วด่วนได้ อดไม่ได้ รอไม่ได้ จะเอาเดี๋ยวนี้ทันที ทั้ง ๆ ที่เมื่อเป็นเด็กเคยใจเย็นและ พูดกันรู้เรื่อง นอกจากนั้นในบางครั้งวัยรุ่นอาจรู้สึกเกียจคร้าน อยากอยู่เฉย ๆ ไม่ทำงาน ไม่หยิบจับช่วยงานในบ้านเพราะสาเหตุ ทางร่างกายและอารมณ์ ถ้าเป็นอยู่เพียงบางครั้ง ผู้ปกครองก็ ไม่ควรเร่งเร้าดุด่าว่ากล่าว แต่ถ้าจะติดเป็นนิสัยก็ไม่เหมาะสม ต้องตักเตือนกัน

] พัฒนาการที่เหมาะสมของวัยรุ่น ควรสิ้นสุดโดยมีลักษณะดังต่อไปนี้
1. ความสำเร็จในการแยกเป็นอิสระ ไม่ต้องพึ่งพาพ่อแม่ 2. การมีพฤติกรรมทางเพศที่เหมาะสม 3. รับผิดชอบต่อการงาน 4. มีจริยธรรมประจำใจ 5. ความสามารถที่จะสร้างสัมพันธภาพที่ลึกซึ่ง และถาวรกับผู้อื่น 6. การกลับไปมีสัมพันธภาพกับพ่อแม่ด้วยความเข้าใจที่ดีขึ้น

        โดยสรุป วัยรุ่นเป็นเวลาแห่งการ 1. ค้นหาเพื่อให้รู้จักตนเอง 2. แสวงหาให้รู้จักสังคมและโลกภายนอก 3. ปรารถนาใครสักคนหนึ่งที่เข้าใจ รักใคร่ ใกล้ชิด และผูกพันด้วย 4. ความรัก ความสวยงามความสมหวังซึ่งอาจเปลี่ยนเป็นความรู้สึกมืดมน ผิดหวัง ว้าเหว่โดดเดี่ยว 5. คิดเพ้อฝัน จิตนาการกว้างไกล 6. ผจญภัย ทดลอง ชอบเสี่ยง 7. อารมณ์ ผันผวน ไม่หนักแน่น


จาก : https://sites.google.com/site/wachirasenarat/home

แบบทดสอบ
1. การเจริญเติบโตของร่างกายคืออะไร
 ก.  การที่ร่างกายสูงใหญ่ขึ้น
 ข.  การที่อวัยวะต่างๆของร่างกายทำงานได้ดี
 ค.  การเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปตามธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต
 ง.  การเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และสติปัญญา

2. การพัฒนาการของร่างกายคืออะไร
 ก.   การมีสติปัญญากีขึ้น
 ข.  การปรับตัวเข้ากับสังคมดีขึ้น
 ค.  การเพิ่มความสามารถในการทำหน้าที่ของร่างกาย
 ง.  การที่ร่างกายมีความสูงเพิ่มขึ้นและมีน้ำหนักมากขึ้นด้วย

3. การเจริญเติบโตและการพัฒนาการมีความสัมพันธ์กันหรือไม่อย่างไร
 ก.  สัมพันธ์กันเพราะต้องใช้ควบคู่กันไป
 ข.   สัมพันธ์กัน เพราะเมื่อร่างกายเจริญเติบโตขึ้นย่อมมีการพัฒนาการมากขึ้น
 ค.  ไม่สัมพันธ์กัน เพราะการเจริญเติบโตมีความหมายแตกต่างกับการพัฒนาการ
  ง.  ไม่สัมพันธ์กัน เพราะการเจริญเติบโตเป็นเรื่องของร่างกาย ส่วนการพัฒนาการเป็นเรื่องของจิตใจอารมณ์และสังคม
4. ความหมายของคำว่า"ปฏิสนธิ" ข้อใดชัดเจนที่สุด
 ก.  การเกิดของทารก
 ข.  การเริ่มต้นชีวิตของคนเรา
 ค.  การทำงานของตัวอสุจิและไข่
 ง.  การเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์

5. ตัวอสุจิจะเข้าไปผสมพันธ์กับไข่ ณ บริเวณใด
 ก.  รังไข่
 ข.  มดลูก
 ค.  ปีกมดลูก
 ง.  ช่องคลอด


บทที่ 2 ต่อมไร้ท่อ

1.ต่อมใต้สมอง

ผลิตฮอร์โมนที่สำคัญ เช่น

1) Growth Hormone เป็นฮอร์โมนควบคุมการเจริญเติบโตของร่างกาย โดยเฉพาะ กระดูกและกล้ามเนื้อ 

2) Thyroid Stimulating Hormone เป็นฮอร์โมนกระตุ้นต่อมไทรอยด์ให้สร้าง ไทร็อกซินเพิ่มขึ้น 

3) Gonadotrophic Hormone เป็นฮอร์โมนกระตุ้นการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ 

4) Antidiuretic Hormone เป็นฮอร์โมนช่วยในการดูดน้ำกลับของท่อไต เพื่อรักษา ระดับน้ำของร่างกาย 

5) Melatonin เป็นฮอร์โมนกระตุ้นให้เซลล์เม็ดสีสร้างเม็ดสีเพิ่มมากขึ้น 




2.ต่อมไทรอยด์ 

ผลิตฮอร์โมนที่สำคัญ คือ ไทร็อกซิน โดยใช้ไอโอดีนเป็นวัตถุดิบในการ สร้างฮอร์โมน ซึ่งฮอร์โมนไทร็อกซินมีหน้าที่สำคัญ ดังนี้
1) ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูก สมอง และระบบประสาท
2) ช่วยในการเปลี่ยนแปลงรูปร่างเมื่อเป็นผู้ใหญ่
3) ช่วยควบคุมอัตราเมตาบอลิซึมในร่างกาย
3.ต่อมพาราไทรอยด์
ผลิตฮอร์โมนที่สำคัญชื่อ พาราธอร์โมน ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการ ควบคุมเมตาบอลิซึมของแคลเซียมและฟอสฟอรัสในร่างกาย การสร้างกระดูกและควบคุมบทบาท ของวิตามินดีในร่างกาย โดยวิตามินดีจะรวมกับฮอร์โมนพาราธอร์โมนในการสลายแคลเซียมออก จากกระดูกเพื่อรักษาระดับปกติของแคลเซียมในพลาสมา




   3.ตับอ่อน

ลักษณะเป็นต่อมขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ทางด้านหลังของกระเพาะอาหาร ใกล้กับลำไส้เล็กส่วนดูโอดินัม ซึ่งเป็นลำไส้เล็กส่วนต้น ส่วนที่เป็นต่อมไร้ท่อ จะผลิตฮอร์โมนที่สำคัญ ดังนี้
1อินซูลิน เป็นฮอร์โมนที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลง โดยช่วยให้กลูโคสผ่าน เข้าเซลล์และเปลี่ยนส่วนหนึ่งเป็นไกลโคเจนเก็บไว้ที่ตับ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในระดับ ปกติ
2กลูคากอน เป็นฮอร์โมนที่ทำงานตรงข้ามกับอินซูลิน คือ ทำให้ระดับน้ำตาลใน เลือดสูงขึ้น


4.ต่อมหมวกไต ( adrenal gland )

เป็นก้อนสีเหลืองๆ อยู่เหนือไตข้างละ 1 ต่อม 
ต่อมหมวกไตในผู้ใหญ่ประกอบด้วยต่อมไร้ท่อ 2 ต่อม คือต่อมหมวกไตส่วนนอกเจริญมาจากเซลล์มีเซนไคมาส (mesenchymas) ของชั้นมีโซเดิร์มของตัวอ่อน ต่อมหมวกไตส่วนในเจริญมาจากเซลล์ต้นกำเนิดเดียวกับเซลล์ประสาทในทารกต่อมหมวกไตจะมีขนาดใหญ่ แต่เนื่องจากขาดสารเร่งปฏิกิริยา จึงไม่สามารถสร้างฮอร์โมนเหล่านี้ได้ ผลิตได้แต่สารที่จะเปลี่ยนไปเป็นฮอร์โมนอีสโทรเจนที่รกแบ่ง ฮอร์โมนออกเป็น 3 กลุ่ม ที่สำคัญ คือ
1) Glucocorticoid hormone ทำหน้าที่ควบคุมเมแทบอลิซึมของคาร์โบไฮเดรต โดยเปลี่ยนไกลโคเจนในตับ และกล้ามเนื้อให้เป็นกลูโคส ในวงการแพทย์ใช้เป็นยาลดการอักเสบและรักษาโรคภูมิแพ้ ถ้ามีฮอร์โมนนี้มากเกินไป จะทำให้อ้วน อ่อนแอ หน้ากลมคล้ายดวงจันทร์ หน้าท้องลาย น้ำตาลในเลือดสูง
                2) Mineralocorticoid hormone ทำหน้าที่ควบคุมสมดุลของน้ำและเกลือแร่ฮอร์โมนสำคัญกลุ่มนี้ คือ aldosterone ช่วยในการทำงานของไตในการดูดกลับ Na และ Cl ภายในท่อไต ถ้าขาด aldosterone จะทำให้ร่างกาย สูญเสียน้ำและโวเดียมไปพร้อมกับปัสสาวะ ส่งผลให้เลือดในร่างกายลดลง จนอาจทำให้ผู้ป่วยตายเพราะความดันเลือดต่ำ
                3) Sex hormone ฮอร์โมนเพศช่วยควบคุมลักษณะทางเพศที่สมบูรณ์ทั้งชายและหญิง
                4) อะดรีนัลเมดัลลา ( adrenal medulla ) เป็นเนื้อชั้นในของต่อมหมวกไต อยู่ภายใต้การควบคุมของ sympathetic ถูกกระตุ้นในขณะตกใจ เครียด กลัว โกรธ เนื้อเยื่อชั้นนี้จะทำหน้าที่สร้างฮอร์โมน 2 ชนิด คือ
4.1) Adrenalin hormone หรือ Epinephrine hormone กระตุ้นให้หัวใจบีบตัวแรง เส้นเลือดขยายตัว เปลี่ยน glycogen ในตับให้เป็นกลูโคสในเลือด
4.2) Noradrenlin hormone หรือ Norepinephrine hormone กระตุ้นให้เส้นเลือดมีการบีบตัว ผลอื่นคล้ายๆ adrenalin แต่มีฤทธิ์น้อยกว่า


5.ต่อมเพศ
ในชายได้แก่อัณฑะและในหญิงได้แก่รังไข่ซึ่งมีหน้าที่สำคัญ 2 อย่างคือ สร้างเซลสืบพันธ์และสร้างฮอร์โมน
6.1ฮอร์โมนเพศชาย ที่สำคัญคือ เทสทอสเตอโรน (Testosterone) ซึ่งจะทำหน้าที่หลายอย่างคือ
1) ควบคุมการเจริญเติบโตของอวัยวะสืบพันธ์
2) ทำให้อัตราการเจริญเติบโตของกระดูกเพิ่มขึ้น
3) กระตุ้นการสร้างโปรตีนเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะเอ็นไซม์
4) ควบคุมการหลั่งของฮอร์โมนเพศชาย




จาก : https://sites.google.com/site/wachirasenarat/home

แบบทดสอบ
1. อวัยวะในข้อใดเป็นได้ทั้งต่อมมีท่อและต่อมไร้ท่อ
      1. ต่อมไทรอยด์
      2. ตับอ่อน
      3. ต่อมเพศ
      4. ต่อมไทมัส

2. ต่อมใดที่จัดอยู่ในระบบประสาท
      1. ต่อมไทรอยด์
      2. ต่อมไพเนียล
      3. ต่อมหมวกไต
      4. ต่อมไทมัส

3. ต่อมใดผลิตฮอร์โมนฟอลลิเคิลสติมิวเลติงฮอร์โมน ( follicle stimulating hormone )
      1. ต่อมใต้สมอง
      2. ต่อมไพเนียล
      3. ต่อมไทรอยด์
      4. ต่อมเพศ

4. ถ้าต่อมไทมัสถูกตัดออกจะเกิดอาการอย่างไร
     1. พูดไม่ได้
      2. ผิวหนังแห้งแข็งเป็นสะเก็ด
      3. ตาบอด
      4. เดินไม่ได้

5. การทำงานของพาราไทรอยด์ฮอร์โมน จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อทำงานร่วมกับข้อใด
      1. วิตามินเอ
      2. วิตามินบี
      3. วิตามินซี
      4. วิตามินดี


บทที่ 3 การพัฒนาทางด้านจิตใจและอารมณ์

การพัฒนาจิตใจ

การพัฒนา หมายความว่า ทา ให้เจริญ ให้ดี ให้สูง คือ ให้มีใจเจริญ ไม่ให้มีใจเสื่อม ให้มีใจดี ไม่ให้มีใจเสีย ให้มีใจสูง ไม่ให้มีใจต่า ทา จิตใจให้เจริญด้วยความดีต่างๆในตัวคนเรามี 2 อย่าง คือ กายกับใจ กายแยกออกเป็นวาจา เรียกว่า กาย วาจา ใจกายกับใจ ใจเป็นใหญ่เป็นประธาน กายวาจาจะเป็นอย่างไร ก็สุดแต่ใจจะสั่งให้พูด ถ้าใจดีก็สั่งให้ทาดี พูดดี ถ้าใจเสีย ก็สั่งให้ทาเสีย พูดเสียลา พังกายกับวาจา ก็เหมือนกับหุ่นหรือว่าว จะทา อะไรเองก็ไม่ได้ ใจเหมือนคนเชิดหุ่นหรือชักว่าว หุ่นจะเป็นอย่างไร ว่าวจะเป็นอย่างไร ก็สุดแต่คนเชิดคนชัก ซึ่งถ้าเราพัฒนาจิตใจได้สา เร็จ ก็เท่ากับว่าพัฒนากายกับวาจาให้สา เร็จด้วยการพัฒนาบุคคล พระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติมาเป็นผลสา เร็จแล้ว คนในสมัยก่อนมีความคิดอยู่ 2 อย่าง คือ ย่อหย่อน มัวเมาพัวพันในเรื่องกามารมณ์ที่เรียกว่า กามสุขัลลิกานุโยค และเคร่งเครียดทรมานร่างกายให้ลา บาก ที่เรียกว่า อัตตกิลมถานุโยคโดยถือว่าทั้ง 2 อย่างนี้ เป็นทางแห่งความดับทุกข์ พระพุทธเจ้าทรงชี้แจงว่า ทั้ง 2 อย่างนี้ เป็นทางทุกข์ ไม่ใช่ทางประเสริฐไม่มีประโยชน์ ต้องไม่ย่อหย่อน ไม่เคร่งเครียด ปฏิบัติเป็นสายกลางที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา จึงจะเป็นทางสงบ เป็นทางดับทุกข์ได้ ซึ่งถ้าผู้ใดปฏิบัติตามพระองค์ได้ ก็ได้รับความสงบใจ พ้นทุกข์จริงการพัฒนาจิตใจของพระพุทธเจ้า ใช้หลักอริยมรรค 8 ประการ สงเคราะห์เข้าในสิกขา 3 คือ ศีล สมาธิ และปัญญาถ้าใจโลภก็พัฒนาด้วยทาน ถ้าใจโกรธก็พัฒนาด้วยศีล ถ้าใจหลงพัฒนาด้วยภาวนาและเปรียบเสมือนดอกบัว 4 เหล่า คนปทปรมะก็ไม่อาจจะพัฒนาจิตใจได้ แม้พระพุทธเจ้าก็ไม่อาจจะโปรดให้ดีได้อา นาจของสิ่งแวดล้อมสามารถเปลี่ยนแปลงจิตใจได้ อยู่ในดงโจรก็จะกลายเป็นโจรได้ อยใู่ นหมู่บัณฑิตก็จะกลายเป็นบัณฑิตได้มีนกแขกเต้า 2 ตัว อยู่ในรังเดียวกัน ตัวหนึ่งถูกลมพัดไปตกอยู่ในหมู่โจร โจรเลี้ยงไว้ในกรง ตัวหนึ่งถูกลมพัดไปตกอยู่หน้ากุฏิพระฤๅษี พระฤๅษีเลี้ยงไว้ในกรง ตัวที่ตกอยู่ในหมู่โจร ได้ยินแต่เรื่องร้าย เช่น พวกโจรพูดกันว่า จะไปปลน้ ที่นั่นที่นี่จะต้องฆ่า จะต้องเอาทรัพย์ให้ได้มากที่สุด ได้เห็นแต่อาวุธต่างๆ ส่วนตัวที่ตกไปอยู่หน้ากุฏิพระฤๅษี ได้ยินเสียงพระฤๅษีสวดมนต์ ได้ยินเสียงพระฤๅษีเจรจาปราศรัยกับคนที่มาหาด้วยถ้อยคา ไพเราะอ่อนหวานวันหนึ่ง พระราชาทรงยกกองทัพไปปราบผู้ร้ายชายแดน แต่พ่ายแพ้แก่ผู้ร้าย ต้องหนีไปหมู่บ้านโจร โดยมิได้ทรงทราบว่าเป็นหมู่บ้านโจร ขณะนั้นพวกโจรไม่อยู่ ยกพวกไปปล้นหมด เหลือนกแขกเต้าอยู่ในกรงแต่เพียงตัวเดียว นกแขกเต้าเห็นพระราชาเสด็จมาก็พูดขึ้นว่า พวกเรารีบมาจับเอาคนนี้ฆ่าเอาทรัพย์ไวๆ เดี๋ยวจะหนีไปเสีย พระราชาได้ทรงสดับนกแขกเต้าพูดเช่นนั้นก็ตกพระทัย เข้าพระทัยว่า หมู่บ้านนี้ต้องเป็นหมู่บ้านโจร จึงรีบเสด็จหนีต่อไปจนถึงกุฏิพระฤๅษี เวลานั้นพรฤๅษีไม่อยู่ ไปตักน้า ที่ท่าน้า อยู่แต่นกแขกเต้าในกรงตัวเดียว นกแขกเต้าเห็นพระราชาเสด็จมาก็พูดต้อนรับว่า เชิญท่านพักผ่อนให้สบาย ไม่ต้องเกรงใจ อีกสักประเดี๋ยวพระอาจารย์ฤๅษีก็จะกลับมา พอพระฤๅษีกลับมา เห็นพระราชาเสด็จมาก็ต้อนรับปราศรัยด้วยดี พระราชาจึงเล่าให้พระฤๅษีฟังว่า ข้าพเจ้าผ่านหมู่บ้านหนึ่งมา นกแขกเต้าพูดว่า พวกเรารีบมาจับเอาคนนี้ฆ่าเอาทรัพย์ไวๆ เดี๋ยวจะหนีไปเสีย ครั้นมาถึงหน้ากุฏิของท่านอาจารย์ นกแขกเต้าพูดว่า เชิญท่านพักผ่อนให้สบาย ไม่ต้องเกรงใจ อีกสักประเดี๋ยวพระอาจารย์ฤๅษีก็จะกลับมา ข้าพเจ้าแปลกใจว่า นกแขกเต้าเป็นสัตว์เดรัจฉานเหมือนกัน ทาไมจึงพูดไม่เหมือนกัน พระฤๅษีก็ชี้แจงว่า นกแขกเต้าตัวที่พูดคา ร้ายๆ นั้น คงจะอยู่ในหมู่โจร ได้ยินโจรพูดแต่เรื่องร้าย จึงจาเอาไว้พูดเหมือนโจรมันพูดกัน ส่วนนกแขกเต้าตัวนี้ ได้ยินอาตมาพูดแต่เรื่องดีๆ จึงจา เอาไว้พูดเหมือนอาตมาพูด ซึ่งเรื่องนี้แม้แต่สัตว์ก็ยังตกอยู่ในอา นาจของสิ่งแวดล้อมได้เพราะฉะนั้น การพัฒนาจิตใจตามหลักคา สอนในทางพระพุทธศาสนา ทา ให้สุขภาพจิตดี ผ่องใส ทา จิตใจให้เปี่ ยมล้นด้วยคุณธรรม รู้ดี รู้ชั่ว เป็นแนวทางให้เกิดความเจริญแล
การพัฒนาและควบคุมอารมณ์ (E.Q.)
การฉลาดทางอารมรณ์มี 3 อย่างคือ ดี  เก่ง สุข   ซึ่งในแง่ของการฉลาดอารมณ์แล้วอธิบายได้ดังนี้
 1. การทำความดี  มี 3 องค์ประกอบ คือ
                  1) ความรับผิดชอบ
                  2)การควบคุมอารมณ์
                 3) เห็นใจคนอื่น
 2. การเป็นคนเก่ง มี 3 องค์ประกอบ คือ
                 1)มีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น สื่อสารเจรจาให้เหมาะสมทั้ง 3 ระดับ (สูงกว่า ระดับเดียวกัน ระดับต่ำกว่า)และใช้แบบปิยะวาจาคิดก่อนพูด
                 2) มีแรงจูงใจสร้างความหวังให้กับตนเอง 3)ตัดสินใจแก้ไขปัญหาไม่ใช้อารมณ์ในการแก้ไขปัญหาต้องยอมรับในสิ่งที่แก้ไขไม่ได้
 3. ความสุข มี 3 องค์ประกอบ คือ
                  1) มีความสุขสงบทางใจ
                  2) ภูมิใจในตนเอง
                  3)พอใจในชีวิต
       
 ความฉลาดทางอารมณ์ คือ ความสามารถทางอารมณ์ในการดำเนินชีวิตอย่างสร้างสรรค์และเป็นสุข
                                     คนที่มี E.Q. ดีมีลักษณะดังนี้
1.              Self Awareness : มีความเข้าใจตนเอง  เข้าใจความรู้สึกและจุดมุ่งหมายของตนเอง             
2.              Empathy : มีความเข้าใจและเอื้ออาทรต่อผู้อื่น
3.              Conflict  Solving : มีความสามารถในการแก้ไขข้อขัดแย้ง
4.              Creativity  thinking : มีความสามารถในการมีความคิดสร้างสรรค์

กลยุทธ์ที่สำคัญในการเสริมสร้าง E.Q.
1.    สร้างปฏิสัมพันธ์ มีความเข้าใจผู้ร่วมงาน มีท่าทีที่ดีในการสื่อสาร เน้นความผูกพันเอื้ออาทร       
2.    มีพลังความคิดด้วยการขยันอ่าน ขยันหาความรู้
3.    ขจัดความโกรธและรับมือกับความเครียด
4.   มีสติและปัญญาในการมองโลก พิจารณาสรรพสิ่งทั้งหลายด้วยใจ
5.   รู้คุณค่าและความหมายแห่งชีวิตของตนเองและผู้ร่วมงาน
 6.   รู้จักเริ่มที่จะรักและวางใจคนอื่น
 7.   มีความพอดีกับชีวิตและไม่ทำความเดือดร้อนให้กับคนอื่นๆ

การพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์
1.              การรู้จักอารมณ์ตนเองให้เวลาทบทวนอารมณ์ของตนเอง ฝึกให้เกิดการรู้ตัวเสมอและมีสตอยู่กับการรู้ตัว
2.              การจัดการกับอารมณ์ของตนเอง ทบทวนว่ามีอะไรบ้างที่ทำลงไปเพื่อตอบสนองอารมณ์ที่เกิดขึ้น และดูด้วยว่าผลที่ตามมาเป็นเช่นไร
เตรียมการในการแสดงอารมณ์ ฝึกการสร้างความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง
3.              การสร้างแรงจูงใจให้ตนเอง ทบทวนว่าสิ่งสำคัญในชีวิตของเรามีอะไรบ้าง นำความต้องการที่เป็นไปได้และเกิดประโยชน์มาตั้งเป้าหมาย
ที่ชัดเจนให้แก่ตนเองแล้ววางขั้นตอนที่จะมุ่งไปสู่เป้าหมายนั้น ในการปฏิบัติเพื่อให้ บรรลุเป้าหมายต้องระวังอย่าให้มีเหตุการณ์บางอย่าง
มาทำให้ไขว้เขววนออกนอกทางที่จะบรรลุเป้าหมาย ต้องลดความสมบูรณ์แบบในตัวเราลง ฝึกการมองหาประโยชน์จากอุปสรรคเพื่อสร้าง
ความรู้สึกดี ๆ ฝึกสร้างทัศนคติที่ดีหามุมมองที่ดีในเรื่องที่เราไม่พอใจ
4.              การรักษาสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน สร้างอารมณ์ที่ดีต่อกัน ฝึกการสร้างความรู้สึกที่ดีต่อผู้อื่น เข้าใจ เห็นใจผู้อื่น ฝึกการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ
สร้างความเข้าใจที่ตรงกันชัดเจนฝึกการเป็นผู้ฟังและผู้รับการสื่อสารด้วย การแสดงน้ำใจ เอื้อเฟื้อ รู้จักการให้การรับการแลกเปลี่ยน
ให้เกิดคุณค่าและประโยชน์สำหรับตนเองและบุคคลที่เกี่ยวข้อง

แนวทางในการรักษาสัมพันธ์ที่ดี
1.              มองตนเองและผู้อื่นในแง่ดี  เน้นการเริ่มต้นของการมีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน
2.              ฝึกการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพมีความเข้าใจตรงกันชัดเจน
3.              ฝึกการแสดงน้ำใจ  มีความเอื้อเฟื้อ  รู้จักให้
4.              ฝึกการให้เกียรติผู้อื่นอย่างจริงใจ  ให้การยอมรับ
5.              แสดงความชื่นชอบ  ชื่นชม  และให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
แนวทางก้าวไกลในการงาน
1.              มาทำงานอย่างพร้อมที่จะแก้ปัญหา  มิใช่มาพร้อมกับปัญหา
2.              ทำงานนอกเหนือจากขอบเขตของงานที่กำหนดไว้
3.              ไม่หยุดนิ่ง  กล้าคิด  กล้าทำสิ่งใหม่ๆ  เมื่อพลาดก็ไม่ท้อถอย
4.              ผลงานมีคุณภาพมากกว่าที่คาดหวัง
5.              พร้อมเสมอที่จะทุ่มเทกับงานใหญ่ที่ได้รับมอบหมาย
6.               มีแนวคิดและมองสิ่งต่างๆ ในแง่มุมที่ดีงามและสร้างสรรค์
7.              มีความสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนร่วมงาน
ความเครียด
           เป็นเรื่องของจิตใจที่เกิดจากความตื่นตัวเตรียมรับเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งไม่น่าพึงพอใจและเป็นเรื่องที่เราคิดว่าหนักหนาสาหัสเกินกำลังความสามารถ
ที่จะแก้ไขได้ ทำให้เกิดความรู้สึกหนักใจ และพลอยทำให้เกิดอาการผิดปกติทางร่างกายขึ้นด้วย หากความเครียดนั้นมีมากและคงอยู่เป็นเวลานาน

         ความเครียด เกิดจากสาเหตุสำคัญ 2 ประการ คือ
1.              สภาพปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิต
2.              การคิดและการประเมินสถานการณ์ของบุคคล
       ความเครียดจะส่งผลให้เกิดความผิดปกติ
       1.   ความผิดปกติทางร่างกาย
2.  ความผิดปกติทางจิตใจ
3. ความผิดปกติทางพฤติกรรม
      
         แนวทางในการจัดการความเครียด
1.  หมั่นสังเกตความผิดปกติทางร่างกาย จิตใจ และพฤติกรรมที่เกิดจากความเครียด
2. รู้ตัวว่าเครียดจากปัญหาใด  ให้พยายามแก้ปัญหานั้นให้ได้โดยเร็ว
3. เรียนรู้การปรับเปลี่ยนความคิดจากแง่ลบให้เป็นแง่บวก
4. ผ่อนคลายความเครียดด้วยวิธีที่คุ้มเคย
5. ใช้เทคนิคเฉพาะในการคลายเครียด

       การผ่อนคลายความเครียด
     1. นอนหลับพักผ่อน
     2. ออกกำลังกาย ยืดเส้นยืดสาย เต้นแอโรบิด รำมวยจีน โยคะ ฯลฯ
     3. ฟังแพลง ร้องแพลง เล่นคนตรี
     4. เล่นกีฬาประเภทต่าง ๆ
     5. ดูโทรทัศน์ ดูภาพยนตร์
     6. เต้นรำ ลีลาศ
     7. ทำงานศิลปะ งานฝีมือ งานประดิษฐ์ ต่าง ๆ
     8. ปลูกต้นไม้ ทำสวน
     9. เล่นกับสัตว์เลี้ยง
    10. จัดห้อง  ตกแต่งบ้าน
    11. อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ เขียนบทกลอน

       พัฒนาความฉลาดทางอารมณ์จะมีผลด้านบวกต่อครอบครัวอย่างไร
1.              ทำให้ครอบครัวอบอุ่น
2.              รู้สึกมั่นคงในครอบครัว
3.              ลดความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้น
4.              เกิดภูมิคุ้มกันในครอบครัว
5.              มีการแก้ไขปัญหาร่วมกันนึกถึงคนในครอบครัวก่อนอันดับแรก
6.              คนในครอบครัวมีสุขภาพ กาย ใจ แข็งแรง
7.              ทำให้รู้สึกมีเป้าหมาย(เหมือนยาชูกำลัง)
8.              สร้างคนที่มีคุณภาพให้สังคม(ไม่เป็นภาระในครอบครัวไม่ก่อให้เกิดปัญหาสังคม)
9.              ก่อให้เกิดกิจกรรมในครอบครัว แบบมีส่วนร่วมในครอบครัว
10.         เกิดความรักขึ้นระหว่างคนในครอบครัว
11.         เข้าใจซึ่งกันและกัน
12.          เกิดความผูกพันกัน

พัฒนาความฉลาดทางอารมณ์มีผลด้านบวก ต่อการทำงานอย่างไร
1.              ลดความขัดแย้ง/เกิดความสามัคคีในหน่วยงาน/องค์กร/เพื่อนร่วมงาน
2.              องค์กรมีศักดิ์ศรี ภาพลักษณ์ที่ดี
3.              เกิดสังคมเอื้ออาทร
4.              บุคคลากรทุกคนทำงานอย่างมีความสุข
5.              ลดต้นทุนการปฏิบัติงาน
6.              มีเพื่อนในการทำงานเพิ่มมากขึ้น/มีเครือข่ายกว้างขวางขึ้น

  พัฒนาความฉลาดทางอารมณ์มีผลด้านบวกต่อสังคมอย่างไร
มีความสามัคคี สมานฉันท์
คิดดี พูดดี ทำดี คนรอบข้างดีมีความสุข
มีการพัฒนาอาชีพที่ถูกต้อง
ลดความขัดแย้ง,ไม่มีการเรียกร้อง
สังคมพัฒนาได้เร็ว
มีความเอื้ออาทรต่อกัน
ไม่ทำร้ายกันทั้งใจและกาย

 5  วิธีพัฒนาอารมณ์ให้เข้าสังคมได้
·         ในทางจิตวิทยาเชื่อว่า อีคิวหรือความฉลาดทางอารมณ์เป็นสิ่งที่พัฒนาได้ แดเนียล โกลแมน ผู้เขียนเรื่อง ความฉลาดทางอารมณ์ เสนอแนะวิธีการพัฒนาอารมณ์ไว้ 5 ประการ ดังนี้
·    1. รู้จักอารมณ์ตนเอง
              การรู้จักอารมณ์ตนเอง จะเป็นพื้นฐานในการควบคุมอารมณ์เพื่อแสดงออกอย่างเหมาะสม การรู้จักอารมณ์ตนเองก็คือการรู้ตัว หรือการมีสติในทรรศนะของพุทธศาสนานั่นเอง ปกติเมื่อเราเกิดอารมณ์ใดๆ ขึ้นมา เราจะตกอยู่ในภาวะใดภาวะหนึ่งใน ภาวะ ดังต่อไปนี้
             ถูกครอบงำ หมายถึง การที่เราไม่สามารถฝืนต่อสภาพอารมณ์นั้นๆ ได้ จึงแสดงพฤติกรรมไปตามสภาพอารมณ์ดังกล่าว เช่น เมื่อโมโหก็อาจจะมีการขว้างปาข้าวของหรือส่งเสียงดังโดยไม่สนใจใคร
·         ไม่ยินดียินร้าย หมายถึง การไม่ยินดียินร้ายต่ออารมณ์ที่เกิดขึ้น หรือทำเป็นละเลยไม่สนใจเพื่อบรรเทาการแสดงอารมณ์ เช่น ทำเป็นไม่ใส่ใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งที่จริงๆ ก็รู้สึกโกรธ
             รู้เท่าทัน หมายถึง การรู้เท่าทันต่ออารมณ์ที่เกิดขึ้น มีสติรู้ว่าควรจะทำอย่างไรจึงจะเหมาะสมที่สุดในขณะที่เกิดอารมณ์นั้นๆ เช่น โกรธก็รู้ว่าโกรธ แต่ก็สามารถควบคุมความโกรธนั้นได้ ระงับอารมณ์โกรธได้ และหาวิธีจัดการแก้ไขได้อย่างเหมาะสม
·           ทำอย่างไรให้รู้เท่าทันอารมณ์ตนเอง?
             ทบทวน ถ้ารู้สึกว่าที่ผ่านมาเรามีปัญหาในการแสดงอารมณ์ ลองให้เวลาทบทวนอารมณ์ด้วยใจที่เป็นกลาง ไม่เข้าข้างตนเองว่าเรามีลักษณะอารมณ์อย่างไร เรามักแสดงออกในรูปแบบไหน แล้วรู้สึกพอใจ ไม่พอใจอย่างไร คิดว่าเหมาะสมหรือไม่ต่อการแสดงอารมณ์ในลักษณะนั้นๆ ฝึกสติ ฝึกให้มีสติและรู้ตัวอยู่เสมอ ว่าขณะนี้เรากำลังรู้สึกอย่างไรกับตัวเองหรือต่อสิ่งที่เกิดขึ้น  รอบตัว สบายใจ ไม่สบายใจ แล้วลองถามตัวเองว่าเราคิดอย่างไรกับความรู้สึกและความคิดนั้น ความรู้สึกนั้นมีผลอย่างไรกับการแสดงออกของเรา
·          2. จัดการกับอารมณ์ตนเองได้
·               การจัดการกับอารมณ์ตนเองได้ หมายถึง ความสามารถในการควบคุมอารมณ์และสามารถแสดงออกไปได้อย่างเหมาะสมกับกาลเทศะ แต่การที่เราจะจัดการกับอารมณ์ได้อย่างเหมาะสมหรือไม่เพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถในการควบคุมอารมณ์
·         เทคนิคการจัดการกับอารมณ์ตนเอง
              ทบทวน ว่ามีอะไรบ้างที่เราทำลงไป เพื่อตอบสนองอารมณ์ที่เกิดขึ้น และพิจารณาว่าผลที่ตามมาเป็นอย่างไร
·           เตรียมการในการแสดงอารมณ์ ฝึกสั่งตัวเองว่าจะทำอะไรและจะไม่ทำอะไร
·            ฝึกรับรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้น หรือที่เราต้องเกี่ยวข้องในด้านดี ทำอารมณ์ให้แจ่มใส ไม่เศร้าหมอง
·           สร้างโอกาสจากอุปสรรค หรือหาประโยชน์จากปัญหา โดยการเปลี่ยนมุมมอง เช่น คิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือความท้าทายที่จะทำให้เราพัฒนายิ่งขึ้น เป็นต้น
·            ฝึกผ่อนคลายความเครียด โดยเลือกวิธีที่เหมาะกับตนเอง เช่น ออกกำลังกาย นั่งสมาธิ เดินจงกรม เล่นดนตรี ปลูกต้นไม้ เป็นต้น
·           3. สร้างแรงจูงใจให้ตนเอง
·          การมองหาแง่ดีของเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งจะช่วยให้เราเกิดความเชื่อมั่นว่าสามารถเผชิญกับเหตุการณ์นั้นได้ และทำให้เกิดกำลังใจที่ก้าวไปสู่เป้าหมายที่วางไว้
·            เทคนิคการสร้างแรงจูงใจให้กับตนเอง
                 ทบทวนและจัดอันดับสิ่งสำคัญในชีวิต โดยให้จัดอันดับความต้องการ ความอยากได้ อยากมี อยากเป็นทั้งหลายทั้งปวง แล้วพิจารณาว่าการที่เราจะบรรลุสิ่งที่ต้องการนั้นเรื่องไหนที่พอเป็นได้ เรื่องไหนที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน เมื่อได้ความต้องการที่มีความเป็นไปได้แล้ว ก็นำมาตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน เพื่อวางขั้นตอนการปฏิบัติที่จะมุ่งไปสู่จุดหมายนั้น มุ่งมั่นต่อเป้าหมาย ในการปฏิบัติเพื่อบรรลุถึงความฝัน ความต้องการของตนเอง ต้องระวังอย่าให้มีเหตุการณ์ใดมาทำให้เราเกิดความไขว้เขวออกนอกทางที่ตั้งไว้ลดความสมบูรณ์แบบ ต้องทำใจยอมรับได้ว่าสิ่งที่เราตั้งใจไว้อาจจะมีความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ หรือไม่เป็นดังที่เราคาดหวัง 100 เปอร์เซ็นต์ การทำใจยอมรับความบกพร่องได้จะช่วยให้เราไม่เครียด ไม่ทุกข์ ไม่ผิดหวังมากจนเกินได้ฝึกมองหาประโยชน์จากอุปสรรค เพื่อสร้างความรู้สึกดีๆ ที่จะเป็นพลังให้เกิดสิ่งดีๆ อื่นๆ ตนฝึกสร้างทัศนคติที่ดี หามุมมองที่ดีในเรื่องที่เราไม่พอใจ (แต่ไม่สามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้) มองปัญหาให้เป็นความท้าทายที่เราจะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพื่อสร้างพลังและแรงจูงใจให้ผ่านพ้นปัญหานั้นๆ ไปได้หมั่นสร้างความหมายในชีวิต ด้วยการรู้สึกดีต่อตัวเอง นึกถึงสิ่งที่สร้างความภูมิใจและพยายามใช้ความสามารถที่มี ทำประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น แม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ให้กำลังใจตนเอง คิดอยู่เสมอว่าเราทำได้ เราจะทำและลงมือทำ
·          4. รู้อารมณ์ผู้อื่น
·         การรู้และเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่น และสามารถแสดงอารมณ์ตนเองตอบสนองได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะกับคนที่เราเกี่ยวข้องสัมพันธ์ด้วย จะช่วยให้เราสามารถอยู่ร่วมหรือทำงานด้วยกันได้อย่างดีและมีความสุขมากขึ้น
·           เทคนิคการรู้อารมณ์ผู้อื่น
·        ให้ความสนใจในการแสดงออกของผู้อื่น โดยการสังเกตสีหน้า แววตา ท่าทาง การพูด น้ำเสียง ตลอดจนการแสดงออกอ่านอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่น จากสิ่งที่สังเกตเห็นว่า เขากำลังมีความรู้สึกใด โดยอาจตรวจสอบว่าเขารู้สึกอย่างนั้นจริงหรือไม่ด้วยการถาม แต่วิธีนี้ควรทำในสถานการณ์ที่เหมาะสม เพราะมิฉะนั้นอาจดูเป็นการวุ่นวาย ก้าวก่ายเรื่องของผู้อื่นไดทำความเข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของบุคคล เรียกว่าเอาใจเขามาใส่ใจเราว่าถ้าเราเป็นเขา เราจะรู้สึกอย่างไรจากสภาพที่เขาเผชิญอยู่
·          5. รักษาสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน
·       การมีความรู้สึกที่ดีต่อกันจะช่วยลดความขัดแย้ง และช่วยให้การอยู่ร่วมกันเป็นไปอย่างราบรื่นพร้อมที่จะสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นประโยชน์
·           เทคนิคในการสร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน
·            ฝึกการสร้างความรู้สึกที่ดีต่อผู้อื่น ด้วยการเข้าใจ เห็นใจความรู้สึกของผู้อื่น
               ฝึกการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ด้วยการสร้างความเข้าใจที่ตรงกัน ฝึกการเป็นผู้พูดและผู้ฟังที่ดี และไม่ลืมที่จะใส่ใจในความรู้สึกของผู้ฟังด้วย
·            ฝึกการแสดงน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รู้จักการให้และรับ
·          ฝึกการให้เกียรติผู้อื่นอย่างจริงใจ รู้จักยอมรับในความสามารถของผู้อื่น
·            ฝึกการแสดงความชื่นชม ให้กำลังใจซึ่งกันและกันตามวาระที่เหมาะสม



แบบทดสอบ
1. “เกม” ส่งเสริมการเรียนในข้อใด
ก. คุณธรรม
ข. ทักษะ
ค. ความรู้
ง. ถูกทุกข้อ

2. เพราะเหตุใด การอบรมเลี้ยงดูเด็กจึงมีความสำคัญมาก
ก. เพราะเป็นความต้องการของเด็กที่ใคร่จะให้มีผู้สนใจตน
ข. เพราะเราสามารถจะพัฒนาพฤติกรรมเด็กให้ออกมาตามแนวทางที่ปรารถนาได้
ค. เพราะพ่อแม่จะได้เป็นผู้มีอำนาจเหนือเด็ก
ง. เพราะไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก

3. แนวคิดในการอบรมเลี้ยงดูเด็กวัยทารกของนักจิตวิทยา ชื่อ ซิกมันด์ ฟรอย์ ได้เน้นความพึงพอใจของเด็กต่ออวัยวะส่วนใดของร่างกาย
ก. รูปร่าง
ข. ปาก
ค. ตา
ง. ใบหน้า

4. วิธีการอบรมเลี้ยงดูเด็กที่เหมาะสมที่สุดของพ่อแม่ในการปลูกฝังจริยธรรมให้แก่เด็ก คือ วิธีการแบบใด
ก. แบบรักมาก
ข. แบบลงโทษ
ค. แบบควบคุมเข้มงวด
ง. แบบประชาธิปไตย

5. ในการปลูกฝังสร้างเสริมจริยธรรมให้แก่เด็ก พ่อแม่ และครู ปฏิบัติตนอย่างไรจึงจะเหมาะสมที่สุด
ก. เป็นแบบอย่างที่ดี
ข. พยายามศึกษาหลักธรรมให้แตกฉาน
ค. มุ่งสร้างปัญหาเพื่อรู้ว่าสิ่งใดดี สิ่งใดชั่ว
ง. ค้นคว้าหาวิธีการที่ดีที่สุดในการอบรมเลี้ยงดูเด็ก