การพัฒนาจิตใจ

การพัฒนา หมายความว่า ทา ให้เจริญ ให้ดี ให้สูง คือ ให้มีใจเจริญ ไม่ให้มีใจเสื่อม ให้มีใจดี ไม่ให้มีใจเสีย ให้มีใจสูง ไม่ให้มีใจต่า ทา จิตใจให้เจริญด้วยความดีต่างๆในตัวคนเรามี 2 อย่าง คือ กายกับใจ กายแยกออกเป็นวาจา เรียกว่า กาย วาจา ใจกายกับใจ ใจเป็นใหญ่เป็นประธาน กายวาจาจะเป็นอย่างไร ก็สุดแต่ใจจะสั่งให้พูด ถ้าใจดีก็สั่งให้ทาดี พูดดี ถ้าใจเสีย ก็สั่งให้ทาเสีย พูดเสียลา พังกายกับวาจา ก็เหมือนกับหุ่นหรือว่าว จะทา อะไรเองก็ไม่ได้ ใจเหมือนคนเชิดหุ่นหรือชักว่าว หุ่นจะเป็นอย่างไร ว่าวจะเป็นอย่างไร ก็สุดแต่คนเชิดคนชัก ซึ่งถ้าเราพัฒนาจิตใจได้สา เร็จ ก็เท่ากับว่าพัฒนากายกับวาจาให้สา เร็จด้วยการพัฒนาบุคคล พระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติมาเป็นผลสา เร็จแล้ว คนในสมัยก่อนมีความคิดอยู่ 2 อย่าง คือ ย่อหย่อน มัวเมาพัวพันในเรื่องกามารมณ์ที่เรียกว่า กามสุขัลลิกานุโยค และเคร่งเครียดทรมานร่างกายให้ลา บาก ที่เรียกว่า อัตตกิลมถานุโยคโดยถือว่าทั้ง 2 อย่างนี้ เป็นทางแห่งความดับทุกข์ พระพุทธเจ้าทรงชี้แจงว่า ทั้ง 2 อย่างนี้ เป็นทางทุกข์ ไม่ใช่ทางประเสริฐไม่มีประโยชน์ ต้องไม่ย่อหย่อน ไม่เคร่งเครียด ปฏิบัติเป็นสายกลางที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา จึงจะเป็นทางสงบ เป็นทางดับทุกข์ได้ ซึ่งถ้าผู้ใดปฏิบัติตามพระองค์ได้ ก็ได้รับความสงบใจ พ้นทุกข์จริงการพัฒนาจิตใจของพระพุทธเจ้า ใช้หลักอริยมรรค 8 ประการ สงเคราะห์เข้าในสิกขา 3 คือ ศีล สมาธิ และปัญญาถ้าใจโลภก็พัฒนาด้วยทาน ถ้าใจโกรธก็พัฒนาด้วยศีล ถ้าใจหลงพัฒนาด้วยภาวนาและเปรียบเสมือนดอกบัว 4 เหล่า คนปทปรมะก็ไม่อาจจะพัฒนาจิตใจได้ แม้พระพุทธเจ้าก็ไม่อาจจะโปรดให้ดีได้อา นาจของสิ่งแวดล้อมสามารถเปลี่ยนแปลงจิตใจได้ อยู่ในดงโจรก็จะกลายเป็นโจรได้ อยใู่ นหมู่บัณฑิตก็จะกลายเป็นบัณฑิตได้มีนกแขกเต้า 2 ตัว อยู่ในรังเดียวกัน ตัวหนึ่งถูกลมพัดไปตกอยู่ในหมู่โจร โจรเลี้ยงไว้ในกรง ตัวหนึ่งถูกลมพัดไปตกอยู่หน้ากุฏิพระฤๅษี พระฤๅษีเลี้ยงไว้ในกรง ตัวที่ตกอยู่ในหมู่โจร ได้ยินแต่เรื่องร้าย เช่น พวกโจรพูดกันว่า จะไปปลน้ ที่นั่นที่นี่จะต้องฆ่า จะต้องเอาทรัพย์ให้ได้มากที่สุด ได้เห็นแต่อาวุธต่างๆ ส่วนตัวที่ตกไปอยู่หน้ากุฏิพระฤๅษี ได้ยินเสียงพระฤๅษีสวดมนต์ ได้ยินเสียงพระฤๅษีเจรจาปราศรัยกับคนที่มาหาด้วยถ้อยคา ไพเราะอ่อนหวานวันหนึ่ง พระราชาทรงยกกองทัพไปปราบผู้ร้ายชายแดน แต่พ่ายแพ้แก่ผู้ร้าย ต้องหนีไปหมู่บ้านโจร โดยมิได้ทรงทราบว่าเป็นหมู่บ้านโจร ขณะนั้นพวกโจรไม่อยู่ ยกพวกไปปล้นหมด เหลือนกแขกเต้าอยู่ในกรงแต่เพียงตัวเดียว นกแขกเต้าเห็นพระราชาเสด็จมาก็พูดขึ้นว่า พวกเรารีบมาจับเอาคนนี้ฆ่าเอาทรัพย์ไวๆ เดี๋ยวจะหนีไปเสีย พระราชาได้ทรงสดับนกแขกเต้าพูดเช่นนั้นก็ตกพระทัย เข้าพระทัยว่า หมู่บ้านนี้ต้องเป็นหมู่บ้านโจร จึงรีบเสด็จหนีต่อไปจนถึงกุฏิพระฤๅษี เวลานั้นพรฤๅษีไม่อยู่ ไปตักน้า ที่ท่าน้า อยู่แต่นกแขกเต้าในกรงตัวเดียว นกแขกเต้าเห็นพระราชาเสด็จมาก็พูดต้อนรับว่า เชิญท่านพักผ่อนให้สบาย ไม่ต้องเกรงใจ อีกสักประเดี๋ยวพระอาจารย์ฤๅษีก็จะกลับมา พอพระฤๅษีกลับมา เห็นพระราชาเสด็จมาก็ต้อนรับปราศรัยด้วยดี พระราชาจึงเล่าให้พระฤๅษีฟังว่า ข้าพเจ้าผ่านหมู่บ้านหนึ่งมา นกแขกเต้าพูดว่า พวกเรารีบมาจับเอาคนนี้ฆ่าเอาทรัพย์ไวๆ เดี๋ยวจะหนีไปเสีย ครั้นมาถึงหน้ากุฏิของท่านอาจารย์ นกแขกเต้าพูดว่า เชิญท่านพักผ่อนให้สบาย ไม่ต้องเกรงใจ อีกสักประเดี๋ยวพระอาจารย์ฤๅษีก็จะกลับมา ข้าพเจ้าแปลกใจว่า นกแขกเต้าเป็นสัตว์เดรัจฉานเหมือนกัน ทาไมจึงพูดไม่เหมือนกัน พระฤๅษีก็ชี้แจงว่า นกแขกเต้าตัวที่พูดคา ร้ายๆ นั้น คงจะอยู่ในหมู่โจร ได้ยินโจรพูดแต่เรื่องร้าย จึงจาเอาไว้พูดเหมือนโจรมันพูดกัน ส่วนนกแขกเต้าตัวนี้ ได้ยินอาตมาพูดแต่เรื่องดีๆ จึงจา เอาไว้พูดเหมือนอาตมาพูด ซึ่งเรื่องนี้แม้แต่สัตว์ก็ยังตกอยู่ในอา นาจของสิ่งแวดล้อมได้เพราะฉะนั้น การพัฒนาจิตใจตามหลักคา สอนในทางพระพุทธศาสนา ทา ให้สุขภาพจิตดี ผ่องใส ทา จิตใจให้เปี่ ยมล้นด้วยคุณธรรม รู้ดี รู้ชั่ว เป็นแนวทางให้เกิดความเจริญแล
การพัฒนาและควบคุมอารมณ์ (E.Q.)
การฉลาดทางอารมรณ์มี 3 อย่างคือ ดี เก่ง สุข ซึ่งในแง่ของการฉลาดอารมณ์แล้วอธิบายได้ดังนี้
1. การทำความดี มี 3 องค์ประกอบ คือ
1) ความรับผิดชอบ
2)การควบคุมอารมณ์
3) เห็นใจคนอื่น
2)การควบคุมอารมณ์
3) เห็นใจคนอื่น
2. การเป็นคนเก่ง มี 3 องค์ประกอบ คือ
1)มีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น สื่อสารเจรจาให้เหมาะสมทั้ง 3 ระดับ (สูงกว่า ระดับเดียวกัน ระดับต่ำกว่า)และใช้แบบปิยะวาจาคิดก่อนพูด
2) มีแรงจูงใจสร้างความหวังให้กับตนเอง 3)ตัดสินใจแก้ไขปัญหาไม่ใช้อารมณ์ในการแก้ไขปัญหาต้องยอมรับในสิ่งที่แก้ไขไม่ได้
2) มีแรงจูงใจสร้างความหวังให้กับตนเอง 3)ตัดสินใจแก้ไขปัญหาไม่ใช้อารมณ์ในการแก้ไขปัญหาต้องยอมรับในสิ่งที่แก้ไขไม่ได้
3. ความสุข มี 3 องค์ประกอบ คือ
1) มีความสุขสงบทางใจ
2) ภูมิใจในตนเอง
3)พอใจในชีวิต
2) ภูมิใจในตนเอง
3)พอใจในชีวิต
ความฉลาดทางอารมณ์ คือ ความสามารถทางอารมณ์ในการดำเนินชีวิตอย่างสร้างสรรค์และเป็นสุข
คนที่มี E.Q. ดีมีลักษณะดังนี้
1. Self Awareness : มีความเข้าใจตนเอง เข้าใจความรู้สึกและจุดมุ่งหมายของตนเอง
2. Empathy : มีความเข้าใจและเอื้ออาทรต่อผู้อื่น
3. Conflict Solving : มีความสามารถในการแก้ไขข้อขัดแย้ง
4. Creativity thinking : มีความสามารถในการมีความคิดสร้างสรรค์
กลยุทธ์ที่สำคัญในการเสริมสร้าง E.Q.
1. สร้างปฏิสัมพันธ์ มีความเข้าใจผู้ร่วมงาน มีท่าทีที่ดีในการสื่อสาร เน้นความผูกพันเอื้ออาทร
2. มีพลังความคิดด้วยการขยันอ่าน ขยันหาความรู้
3. ขจัดความโกรธและรับมือกับความเครียด
4. มีสติและปัญญาในการมองโลก พิจารณาสรรพสิ่งทั้งหลายด้วยใจ
5. รู้คุณค่าและความหมายแห่งชีวิตของตนเองและผู้ร่วมงาน
6. รู้จักเริ่มที่จะรักและวางใจคนอื่น
7. มีความพอดีกับชีวิตและไม่ทำความเดือดร้อนให้กับคนอื่นๆ
การพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์
1. การรู้จักอารมณ์ตนเองให้เวลาทบทวนอารมณ์ของตนเอง ฝึกให้เกิดการรู้ตัวเสมอและมีสตอยู่กับการรู้ตัว
2. การจัดการกับอารมณ์ของตนเอง ทบทวนว่ามีอะไรบ้างที่ทำลงไปเพื่อตอบสนองอารมณ์ที่เกิดขึ้น และดูด้วยว่าผลที่ตามมาเป็นเช่นไร
เตรียมการในการแสดงอารมณ์ ฝึกการสร้างความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง
เตรียมการในการแสดงอารมณ์ ฝึกการสร้างความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง
3. การสร้างแรงจูงใจให้ตนเอง ทบทวนว่าสิ่งสำคัญในชีวิตของเรามีอะไรบ้าง นำความต้องการที่เป็นไปได้และเกิดประโยชน์มาตั้งเป้าหมาย
ที่ชัดเจนให้แก่ตนเองแล้ววางขั้นตอนที่จะมุ่งไปสู่เป้าหมายนั้น ในการปฏิบัติเพื่อให้ บรรลุเป้าหมายต้องระวังอย่าให้มีเหตุการณ์บางอย่าง
มาทำให้ไขว้เขววนออกนอกทางที่จะบรรลุเป้าหมาย ต้องลดความสมบูรณ์แบบในตัวเราลง ฝึกการมองหาประโยชน์จากอุปสรรคเพื่อสร้าง
ความรู้สึกดี ๆ ฝึกสร้างทัศนคติที่ดีหามุมมองที่ดีในเรื่องที่เราไม่พอใจ
ที่ชัดเจนให้แก่ตนเองแล้ววางขั้นตอนที่จะมุ่งไปสู่เป้าหมายนั้น ในการปฏิบัติเพื่อให้ บรรลุเป้าหมายต้องระวังอย่าให้มีเหตุการณ์บางอย่าง
มาทำให้ไขว้เขววนออกนอกทางที่จะบรรลุเป้าหมาย ต้องลดความสมบูรณ์แบบในตัวเราลง ฝึกการมองหาประโยชน์จากอุปสรรคเพื่อสร้าง
ความรู้สึกดี ๆ ฝึกสร้างทัศนคติที่ดีหามุมมองที่ดีในเรื่องที่เราไม่พอใจ
4. การรักษาสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน สร้างอารมณ์ที่ดีต่อกัน ฝึกการสร้างความรู้สึกที่ดีต่อผู้อื่น เข้าใจ เห็นใจผู้อื่น ฝึกการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ
สร้างความเข้าใจที่ตรงกันชัดเจนฝึกการเป็นผู้ฟังและผู้รับการสื่อสารด้วย การแสดงน้ำใจ เอื้อเฟื้อ รู้จักการให้การรับการแลกเปลี่ยน
ให้เกิดคุณค่าและประโยชน์สำหรับตนเองและบุคคลที่เกี่ยวข้อง
สร้างความเข้าใจที่ตรงกันชัดเจนฝึกการเป็นผู้ฟังและผู้รับการสื่อสารด้วย การแสดงน้ำใจ เอื้อเฟื้อ รู้จักการให้การรับการแลกเปลี่ยน
ให้เกิดคุณค่าและประโยชน์สำหรับตนเองและบุคคลที่เกี่ยวข้อง
แนวทางในการรักษาสัมพันธ์ที่ดี
1. มองตนเองและผู้อื่นในแง่ดี เน้นการเริ่มต้นของการมีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน
2. ฝึกการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพมีความเข้าใจตรงกันชัดเจน
3. ฝึกการแสดงน้ำใจ มีความเอื้อเฟื้อ รู้จักให้
4. ฝึกการให้เกียรติผู้อื่นอย่างจริงใจ ให้การยอมรับ
5. แสดงความชื่นชอบ ชื่นชม และให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
แนวทางก้าวไกลในการงาน
1. มาทำงานอย่างพร้อมที่จะแก้ปัญหา มิใช่มาพร้อมกับปัญหา
2. ทำงานนอกเหนือจากขอบเขตของงานที่กำหนดไว้
3. ไม่หยุดนิ่ง กล้าคิด กล้าทำสิ่งใหม่ๆ เมื่อพลาดก็ไม่ท้อถอย
4. ผลงานมีคุณภาพมากกว่าที่คาดหวัง
5. พร้อมเสมอที่จะทุ่มเทกับงานใหญ่ที่ได้รับมอบหมาย
6. มีแนวคิดและมองสิ่งต่างๆ ในแง่มุมที่ดีงามและสร้างสรรค์
7. มีความสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนร่วมงาน
ความเครียด
เป็นเรื่องของจิตใจที่เกิดจากความตื่นตัวเตรียมรับเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งไม่น่าพึงพอใจและเป็นเรื่องที่เราคิดว่าหนักหนาสาหัสเกินกำลังความสามารถ
ที่จะแก้ไขได้ ทำให้เกิดความรู้สึกหนักใจ และพลอยทำให้เกิดอาการผิดปกติทางร่างกายขึ้นด้วย หากความเครียดนั้นมีมากและคงอยู่เป็นเวลานาน
ที่จะแก้ไขได้ ทำให้เกิดความรู้สึกหนักใจ และพลอยทำให้เกิดอาการผิดปกติทางร่างกายขึ้นด้วย หากความเครียดนั้นมีมากและคงอยู่เป็นเวลานาน
ความเครียด เกิดจากสาเหตุสำคัญ 2 ประการ คือ
1. สภาพปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิต
2. การคิดและการประเมินสถานการณ์ของบุคคล
ความเครียดจะส่งผลให้เกิดความผิดปกติ
1. ความผิดปกติทางร่างกาย
2. ความผิดปกติทางจิตใจ
3. ความผิดปกติทางพฤติกรรม
แนวทางในการจัดการความเครียด
1. หมั่นสังเกตความผิดปกติทางร่างกาย จิตใจ และพฤติกรรมที่เกิดจากความเครียด
2. รู้ตัวว่าเครียดจากปัญหาใด ให้พยายามแก้ปัญหานั้นให้ได้โดยเร็ว
3. เรียนรู้การปรับเปลี่ยนความคิดจากแง่ลบให้เป็นแง่บวก
4. ผ่อนคลายความเครียดด้วยวิธีที่คุ้มเคย
5. ใช้เทคนิคเฉพาะในการคลายเครียด
การผ่อนคลายความเครียด
1. นอนหลับพักผ่อน
2. ออกกำลังกาย ยืดเส้นยืดสาย เต้นแอโรบิด รำมวยจีน โยคะ ฯลฯ
3. ฟังแพลง ร้องแพลง เล่นคนตรี
4. เล่นกีฬาประเภทต่าง ๆ
5. ดูโทรทัศน์ ดูภาพยนตร์
6. เต้นรำ ลีลาศ
7. ทำงานศิลปะ งานฝีมือ งานประดิษฐ์ ต่าง ๆ
8. ปลูกต้นไม้ ทำสวน
9. เล่นกับสัตว์เลี้ยง
10. จัดห้อง ตกแต่งบ้าน
11. อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ เขียนบทกลอน
พัฒนาความฉลาดทางอารมณ์จะมีผลด้านบวกต่อครอบครัวอย่างไร
1. ทำให้ครอบครัวอบอุ่น
2. รู้สึกมั่นคงในครอบครัว
3. ลดความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้น
4. เกิดภูมิคุ้มกันในครอบครัว
5. มีการแก้ไขปัญหาร่วมกันนึกถึงคนในครอบครัวก่อนอันดับแรก
6. คนในครอบครัวมีสุขภาพ กาย ใจ แข็งแรง
7. ทำให้รู้สึกมีเป้าหมาย(เหมือนยาชูกำลัง)
8. สร้างคนที่มีคุณภาพให้สังคม(ไม่เป็นภาระในครอบครัวไม่ก่อให้เกิดปัญหาสังคม)
9. ก่อให้เกิดกิจกรรมในครอบครัว แบบมีส่วนร่วมในครอบครัว
10. เกิดความรักขึ้นระหว่างคนในครอบครัว
11. เข้าใจซึ่งกันและกัน
12. เกิดความผูกพันกัน
พัฒนาความฉลาดทางอารมณ์มีผลด้านบวก ต่อการทำงานอย่างไร
1. ลดความขัดแย้ง/เกิดความสามัคคีในหน่วยงาน/องค์กร/เพื่อนร่วมงาน
2. องค์กรมีศักดิ์ศรี ภาพลักษณ์ที่ดี
3. เกิดสังคมเอื้ออาทร
4. บุคคลากรทุกคนทำงานอย่างมีความสุข
5. ลดต้นทุนการปฏิบัติงาน
6. มีเพื่อนในการทำงานเพิ่มมากขึ้น/มีเครือข่ายกว้างขวางขึ้น
พัฒนาความฉลาดทางอารมณ์มีผลด้านบวกต่อสังคมอย่างไร
มีความสามัคคี สมานฉันท์
คิดดี พูดดี ทำดี คนรอบข้างดีมีความสุข
มีการพัฒนาอาชีพที่ถูกต้อง
ลดความขัดแย้ง,ไม่มีการเรียกร้อง
สังคมพัฒนาได้เร็ว
มีความเอื้ออาทรต่อกัน
ไม่ทำร้ายกันทั้งใจและกาย
5 วิธีพัฒนาอารมณ์ให้เข้าสังคมได้
· ในทางจิตวิทยาเชื่อว่า อีคิวหรือความฉลาดทางอารมณ์เป็นสิ่งที่พัฒนาได้ แดเนียล โกลแมน ผู้เขียนเรื่อง ความฉลาดทางอารมณ์ เสนอแนะวิธีการพัฒนาอารมณ์ไว้ 5 ประการ ดังนี้
· 1. รู้จักอารมณ์ตนเอง
การรู้จักอารมณ์ตนเอง จะเป็นพื้นฐานในการควบคุมอารมณ์เพื่อแสดงออกอย่างเหมาะสม การรู้จักอารมณ์ตนเองก็คือการรู้ตัว หรือการมีสติในทรรศนะของพุทธศาสนานั่นเอง ปกติเมื่อเราเกิดอารมณ์ใดๆ ขึ้นมา เราจะตกอยู่ในภาวะใดภาวะหนึ่งใน 3 ภาวะ ดังต่อไปนี้
ถูกครอบงำ หมายถึง การที่เราไม่สามารถฝืนต่อสภาพอารมณ์นั้นๆ ได้ จึงแสดงพฤติกรรมไปตามสภาพอารมณ์ดังกล่าว เช่น เมื่อโมโหก็อาจจะมีการขว้างปาข้าวของหรือส่งเสียงดังโดยไม่สนใจใคร
· ไม่ยินดียินร้าย หมายถึง การไม่ยินดียินร้ายต่ออารมณ์ที่เกิดขึ้น หรือทำเป็นละเลยไม่สนใจเพื่อบรรเทาการแสดงอารมณ์ เช่น ทำเป็นไม่ใส่ใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งที่จริงๆ ก็รู้สึกโกรธ
รู้เท่าทัน หมายถึง การรู้เท่าทันต่ออารมณ์ที่เกิดขึ้น มีสติรู้ว่าควรจะทำอย่างไรจึงจะเหมาะสมที่สุดในขณะที่เกิดอารมณ์นั้นๆ เช่น โกรธก็รู้ว่าโกรธ แต่ก็สามารถควบคุมความโกรธนั้นได้ ระงับอารมณ์โกรธได้ และหาวิธีจัดการแก้ไขได้อย่างเหมาะสม
· ทำอย่างไรให้รู้เท่าทันอารมณ์ตนเอง?
ทบทวน ถ้ารู้สึกว่าที่ผ่านมาเรามีปัญหาในการแสดงอารมณ์ ลองให้เวลาทบทวนอารมณ์ด้วยใจที่เป็นกลาง ไม่เข้าข้างตนเองว่าเรามีลักษณะอารมณ์อย่างไร เรามักแสดงออกในรูปแบบไหน แล้วรู้สึกพอใจ ไม่พอใจอย่างไร คิดว่าเหมาะสมหรือไม่ต่อการแสดงอารมณ์ในลักษณะนั้นๆ ฝึกสติ ฝึกให้มีสติและรู้ตัวอยู่เสมอ ว่าขณะนี้เรากำลังรู้สึกอย่างไรกับตัวเองหรือต่อสิ่งที่เกิดขึ้น รอบตัว สบายใจ ไม่สบายใจ แล้วลองถามตัวเองว่าเราคิดอย่างไรกับความรู้สึกและความคิดนั้น ความรู้สึกนั้นมีผลอย่างไรกับการแสดงออกของเรา
· 2. จัดการกับอารมณ์ตนเองได้
· การจัดการกับอารมณ์ตนเองได้ หมายถึง ความสามารถในการควบคุมอารมณ์และสามารถแสดงออกไปได้อย่างเหมาะสมกับกาลเทศะ แต่การที่เราจะจัดการกับอารมณ์ได้อย่างเหมาะสมหรือไม่เพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถในการควบคุมอารมณ์
· เทคนิคการจัดการกับอารมณ์ตนเอง
ทบทวน ว่ามีอะไรบ้างที่เราทำลงไป เพื่อตอบสนองอารมณ์ที่เกิดขึ้น และพิจารณาว่าผลที่ตามมาเป็นอย่างไร
· เตรียมการในการแสดงอารมณ์ ฝึกสั่งตัวเองว่าจะทำอะไรและจะไม่ทำอะไร
· ฝึกรับรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้น หรือที่เราต้องเกี่ยวข้องในด้านดี ทำอารมณ์ให้แจ่มใส ไม่เศร้าหมอง
· สร้างโอกาสจากอุปสรรค หรือหาประโยชน์จากปัญหา โดยการเปลี่ยนมุมมอง เช่น คิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือความท้าทายที่จะทำให้เราพัฒนายิ่งขึ้น เป็นต้น
· ฝึกผ่อนคลายความเครียด โดยเลือกวิธีที่เหมาะกับตนเอง เช่น ออกกำลังกาย นั่งสมาธิ เดินจงกรม เล่นดนตรี ปลูกต้นไม้ เป็นต้น
· 3. สร้างแรงจูงใจให้ตนเอง
· การมองหาแง่ดีของเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งจะช่วยให้เราเกิดความเชื่อมั่นว่าสามารถเผชิญกับเหตุการณ์นั้นได้ และทำให้เกิดกำลังใจที่ก้าวไปสู่เป้าหมายที่วางไว้
· เทคนิคการสร้างแรงจูงใจให้กับตนเอง
ทบทวนและจัดอันดับสิ่งสำคัญในชีวิต โดยให้จัดอันดับความต้องการ ความอยากได้ อยากมี อยากเป็นทั้งหลายทั้งปวง แล้วพิจารณาว่าการที่เราจะบรรลุสิ่งที่ต้องการนั้นเรื่องไหนที่พอเป็นได้ เรื่องไหนที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน เมื่อได้ความต้องการที่มีความเป็นไปได้แล้ว ก็นำมาตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน เพื่อวางขั้นตอนการปฏิบัติที่จะมุ่งไปสู่จุดหมายนั้น มุ่งมั่นต่อเป้าหมาย ในการปฏิบัติเพื่อบรรลุถึงความฝัน ความต้องการของตนเอง ต้องระวังอย่าให้มีเหตุการณ์ใดมาทำให้เราเกิดความไขว้เขวออกนอกทางที่ตั้งไว้ลดความสมบูรณ์แบบ ต้องทำใจยอมรับได้ว่าสิ่งที่เราตั้งใจไว้อาจจะมีความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ หรือไม่เป็นดังที่เราคาดหวัง 100 เปอร์เซ็นต์ การทำใจยอมรับความบกพร่องได้จะช่วยให้เราไม่เครียด ไม่ทุกข์ ไม่ผิดหวังมากจนเกินได้ฝึกมองหาประโยชน์จากอุปสรรค เพื่อสร้างความรู้สึกดีๆ ที่จะเป็นพลังให้เกิดสิ่งดีๆ อื่นๆ ตนฝึกสร้างทัศนคติที่ดี หามุมมองที่ดีในเรื่องที่เราไม่พอใจ (แต่ไม่สามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้) มองปัญหาให้เป็นความท้าทายที่เราจะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพื่อสร้างพลังและแรงจูงใจให้ผ่านพ้นปัญหานั้นๆ ไปได้หมั่นสร้างความหมายในชีวิต ด้วยการรู้สึกดีต่อตัวเอง นึกถึงสิ่งที่สร้างความภูมิใจและพยายามใช้ความสามารถที่มี ทำประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น แม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ให้กำลังใจตนเอง คิดอยู่เสมอว่าเราทำได้ เราจะทำและลงมือทำ
· 4. รู้อารมณ์ผู้อื่น
· การรู้และเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่น และสามารถแสดงอารมณ์ตนเองตอบสนองได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะกับคนที่เราเกี่ยวข้องสัมพันธ์ด้วย จะช่วยให้เราสามารถอยู่ร่วมหรือทำงานด้วยกันได้อย่างดีและมีความสุขมากขึ้น
· เทคนิคการรู้อารมณ์ผู้อื่น
· ให้ความสนใจในการแสดงออกของผู้อื่น โดยการสังเกตสีหน้า แววตา ท่าทาง การพูด น้ำเสียง ตลอดจนการแสดงออกอ่านอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่น จากสิ่งที่สังเกตเห็นว่า เขากำลังมีความรู้สึกใด โดยอาจตรวจสอบว่าเขารู้สึกอย่างนั้นจริงหรือไม่ด้วยการถาม แต่วิธีนี้ควรทำในสถานการณ์ที่เหมาะสม เพราะมิฉะนั้นอาจดูเป็นการวุ่นวาย ก้าวก่ายเรื่องของผู้อื่นไดทำความเข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของบุคคล เรียกว่าเอาใจเขามาใส่ใจเราว่าถ้าเราเป็นเขา เราจะรู้สึกอย่างไรจากสภาพที่เขาเผชิญอยู่
· 5. รักษาสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน
· การมีความรู้สึกที่ดีต่อกันจะช่วยลดความขัดแย้ง และช่วยให้การอยู่ร่วมกันเป็นไปอย่างราบรื่นพร้อมที่จะสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นประโยชน์
· เทคนิคในการสร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน
· ฝึกการสร้างความรู้สึกที่ดีต่อผู้อื่น ด้วยการเข้าใจ เห็นใจความรู้สึกของผู้อื่น
ฝึกการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ด้วยการสร้างความเข้าใจที่ตรงกัน ฝึกการเป็นผู้พูดและผู้ฟังที่ดี และไม่ลืมที่จะใส่ใจในความรู้สึกของผู้ฟังด้วย
· ฝึกการแสดงน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รู้จักการให้และรับ
· ฝึกการให้เกียรติผู้อื่นอย่างจริงใจ รู้จักยอมรับในความสามารถของผู้อื่น
· ฝึกการแสดงความชื่นชม ให้กำลังใจซึ่งกันและกันตามวาระที่เหมาะสม
แบบทดสอบ
1. “เกม” ส่งเสริมการเรียนในข้อใด
ก. คุณธรรม
ก. คุณธรรม
ข. ทักษะ
ค. ความรู้
ค. ความรู้
ง. ถูกทุกข้อ
2. เพราะเหตุใด การอบรมเลี้ยงดูเด็กจึงมีความสำคัญมาก
ก. เพราะเป็นความต้องการของเด็กที่ใคร่จะให้มีผู้สนใจตน
ข. เพราะเราสามารถจะพัฒนาพฤติกรรมเด็กให้ออกมาตามแนวทางที่ปรารถนาได้
ค. เพราะพ่อแม่จะได้เป็นผู้มีอำนาจเหนือเด็ก
ง. เพราะไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก
ก. เพราะเป็นความต้องการของเด็กที่ใคร่จะให้มีผู้สนใจตน
ข. เพราะเราสามารถจะพัฒนาพฤติกรรมเด็กให้ออกมาตามแนวทางที่ปรารถนาได้
ค. เพราะพ่อแม่จะได้เป็นผู้มีอำนาจเหนือเด็ก
ง. เพราะไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก
3. แนวคิดในการอบรมเลี้ยงดูเด็กวัยทารกของนักจิตวิทยา ชื่อ ซิกมันด์ ฟรอย์ ได้เน้นความพึงพอใจของเด็กต่ออวัยวะส่วนใดของร่างกาย
ก. รูปร่าง
ข. ปาก
ค. ตา
ค. ตา
ง. ใบหน้า
4. วิธีการอบรมเลี้ยงดูเด็กที่เหมาะสมที่สุดของพ่อแม่ในการปลูกฝังจริยธรรมให้แก่เด็ก คือ วิธีการแบบใด
ก. แบบรักมาก
ก. แบบรักมาก
ข. แบบลงโทษ
ค. แบบควบคุมเข้มงวด
ค. แบบควบคุมเข้มงวด
ง. แบบประชาธิปไตย
5. ในการปลูกฝังสร้างเสริมจริยธรรมให้แก่เด็ก พ่อแม่ และครู ปฏิบัติตนอย่างไรจึงจะเหมาะสมที่สุด
ก. เป็นแบบอย่างที่ดี
ข. พยายามศึกษาหลักธรรมให้แตกฉาน
ค. มุ่งสร้างปัญหาเพื่อรู้ว่าสิ่งใดดี สิ่งใดชั่ว
ง. ค้นคว้าหาวิธีการที่ดีที่สุดในการอบรมเลี้ยงดูเด็ก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น