วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557

บทที่ 4 เพศศึกษา



เพศศึกษาเป็นเรื่องของธรรมชาติที่สามารถควบคุมได้ ปรุงแต่งได้ ปรับปรุงได้ ให้สอดคล้องกับวัฒนธรรม ประเพณีที่ดีงาม และไม่ให้ความต้องการตามธรรมชาติมาอยู่เหนือ หิริโอตัปปะ รวมทั้ง ต้องมีสติยั้งคิด ในการกระทำเพื่อตอบสนองต่อความต้องการตามธรรมชาติ การเรียนรู้เรื่องเพศ จึงเป็นการเรียนรู้ผู้ชาย เข้าใจผู้หญิง เรียนรู้ถึงทางมีความรัก กามารมณ์ ที่ประสานสอดคล้องกัน ด้วยการคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก 
การเรียนรู้เรื่องเพศที่ถูกต้องจะทำให้เข้าใจได้ว่า 

1. เรื่องเพศ เป็นเรื่องของธรรมชาติ... การเปลี่ยนแปลงของร่างกายในวัยต่างๆ ตั้งแต่วัยเด็กทารก วัยเจริญพันธุ์ วัยทอง วัยสูงอายุ ฯลฯ 

2. ความต้องการทางเพศและการตอบสนองทางเพศนั้น เป็นธรรมชาติพื้นฐานของการเจริญพันธุ์ แต่กามารมณ์ของมนุษย์นั้น 
สามารถที่จะควบคุมให้มีการเสนอและสนอง ตามครรลองของขนมธรรมเนียม วัฒนธรรมที่ดีงามของแต่ละชนชาติ รวมทั้งสามารถควบคุมในการแสดงออกของพฤติกรรมทางเพศได้ 

3. ความรู้เกี่ยวกับเพศศึกษานั้น เป็นความรู้ที่ครอบคลุมถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย และระบบการเจริญพันธุ์ทั้งชายและหญิงที่สัมพันธ์กับระดับของฮอร์โมนเพศในร่างกาย อารมณ์เพศ ความรัก และกามารมณ์ ของชายหญิง การครองชีวิตคู่ การวางแผนครอบครัว การคุมกำเนิด การตั้งครรภ์ และมีบุตร รวมทั้งการดูแลสุขอนามัยของอวัยวะเพศและอวัยวะที่เกี่ยวข้อง ให้เหมาะสมกับเพศและวัย 

4. โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เป็นโรคที่ควบคุมป้องกันได้ ถ้ามีความรู้ความเข้าใจในการมีความสัมพันธ์ทางเพศที่ปลอดภัย หรือ SAFER SEX และยึดถือปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าวอย่างเคร่งครัด 

5. การมีเพศสัมพันธ์ ควรจะเป็นเพศสัมพันธ์ที่มีความรับผิดชอบ และเมื่อเกิด ความต้องการทางเพศขึ้นแล้ว การตอบสนองต่ออารมณ์และสื่อเร้าทางเพศนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องมีเพศสัมพันธ์เสมอไป การอดทน อดกลั้น หรือหาทางเบี่ยงเบน ไม่สนใจเรื่องอื่นเมื่อยังไม่สมควรจะมีเพศสัมพันธ์ เป็นทางออกที่เหมาะสมกว่า 

6. ความเข้าใจผิดและความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับเรื่องเพศนั้น เกิดเพราะคนมองว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องน่าอาย ต้องปกปิด ข่าวลือต่างๆ จึงออกมามาก การได้รับความรู้เรื่องเพศที่ถูกต้องจะแก้ไขความกังวลใจเกี่ยวกับเรื่องเพศไปได้มาของพัฒนาการของสังคมและบุคคลด้วย 

7. โดยนัยดังกล่าวข้างต้น สังคมจะต้องเป็นผู้สร้างเงื่อนไขที่จะกำหนดความพอใจของบุคคล เพื่อให้บรรลุถึงพัฒนาการสูงสุด และจะต้องเคารพในสิทธิทางเพศ ซึ่งได้แก่สิทธิดังต่อไปนี้... 

- สิทธิที่จะมีเสรีภาพ จะต้องขจัดการบังคับข่มขู่ทางเพศ การแสวงหาผลประโยชน์ และการล่วงเกินทางเพศทุกรูปแบบ ไม่ว่าในเวลาหรือสถานการณ์ใดๆ การต่อสู้เพื่อต่อต้านความรุนแรงทางเพศ เป็นสิ่งที่สังคมควรให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก 

- สิทธิที่จะมีความเป็นอิสระ ความเป็นตัวของตัวเองและความปลอดภัยในร่างกาย รวมถึงการควบคุม และการแสวงหาความสุขจากร่างกายของตนเอง โดยปราศจากการทารุณกรรมและความรุนแรงในทุกรูปแบบ 

- สิทธิเท่าเทียมทางเพศ มีเสรีภาพที่ปราศจากการกีดกัน แบ่งแยกในทุกรูปแบบ รวมกับการให้ความเคารพในความหลากหลายทางเพศ ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง และไม่ว่าจะมีอายุ เชื้อชาติ ศาสนา ชนชั้น หรือมีรสนิยมทางเพศแบบใด 

- สิทธิที่จะมีสุขอนามัยทางเพศที่ดี รวมทั้งได้รับทรัพยากรสำหรับการวิจัย และการวินิจฉัยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และการรักษาพยาบาลมากขึ้น 

- สิทธิที่จะได้รับความรู้เรื่องเพศที่กว้างขวางและเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่เบี่ยงเบน เพื่อช่วยให้การตัดสินใจเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตทางเพศกระทำได้ดีขึ้น 

- สิทธิที่จะได้รับความรู้ด้านเพศศึกษาที่กว้างขวางและครอบคลุมตั้งแต่เกิดไปจนตลอดชีวิต สถาบันทางสังคมทุกสถาบันควรมีส่วนร่วมในขบวนการที่ว่านี้ 

- สิทธิที่จะดำเนินชีวิตร่วมอย่างอิสระ จะแต่งงานหรือไม่ก็ได้ จะหย่าร้างหรือไม่ก็ได้ หรือจะมีรูปแบบการใช้ชีวิตร่วมทางเพศอื่นๆ ที่ตนเองประสงค์ 

- สิทธิที่จะตัดสินใจโดยเสรีและรับผิดชอบในการเจริญพันธุ์ สามารถเลือกจำนวนบุตร ระยะห่างระหว่างการมีบุตรแต่ละคน และโอกาสได้รับความช่วยเหลือให้ตั้งครรภ์ได้ โดยที่เด็กทุกคนควรเป็นที่รักและต้องการของพ่อแม่ 

- สิทธิในความเป็นส่วนตัว สามารถตัดสินใจเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตทางเพศโดยอิสระ ภายใต้เนื้อหาของจริยธรรมทางสังคมและบุคคล ประสบการณ์ทางเพศ ที่ให้ความพึงพอใจ และมีเหตุผลเท่านั้นที่จะสนับสนุนพัฒนาการของมนุษย์ได้ 

- สุขภาพทางเพศเป็นสิทธิมูลฐานและรากฐานของมนุษยชนเรื่องเพศเป็นต้นกำเนิดของความผูกพัน ที่ลึกซึ้งที่สุดของมนุษย์ เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับความสุขในชีวิตของบุคคล คู่สมรส ครอบครัว และสังคม ดังนั้นการเคารพในสิทธิทางเพศ เป็นสิ่งที่ควรสนับสนุนในทุกวิถีทาง 
พฤติกรรมเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่น

            จากรายงานสำรวจของสถาบันประชากรและสังคมร่วมกับสำนักกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ  ในปี คศ.2003   พฤติกรรมทางเพศสัมพันธุ์ของวัยรุ่นในประเทศไทยพบว่า อายุเฉลี่ยของวัยรุ่นที่เริ่มมีเพศสัมพันธุ์ครั้งแรกคือ อายุ 16 ปี  และจากข้อมูลของดร.อมรวิช นาครทรรพ ผู้อำนวยการสถาบันรามจิตติ ในรอบปี 2548-2549 ในเด็กมัธยมถึงอุดมศึกษา พบว่ามีเพศสัมพันธ์เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 16 เป็นร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับ 2-3 ปีที่ผ่านมา และในกลุ่มนี้ร้อยละ 30 เคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว ในขณะที่การแต่งงานช้าลงโดยเฉลี่ยอายุ 24 ปี  จะเห็นได้ว่าช่องว่างที่เกิดขึ้นจากค่าเฉลี่ยของการเริ่มมีเพศสัมพันธ์กับการแต่งงานราว  8 ปีนี้ สะท้อนให้เห็นพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศสัมพันธ์มากขึ้นและยาวนานขึ้นและเป็นการมีเพศสัมพันธ์แบบขาดความรับผิดชอบ(sex without responsibilities)  หรือสังคมยังไม่ยอมรับ โดยมีปัจจัยที่เป็นเหตุกระตุ้นหลายประการเช่นการเข้าวัยรุ่นที่เร็วขึ้น การกระตุ้นโดยสื่อที่ไม่เหมาะสม ทำให้ปัญหาสังคมอันเนื่องมาจากพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์และผลของการกระทำทวีความรุนแรงและสลับซับซ้อนมากขึ้นเห็นได้จากการหย่าร้างที่เพิ่มขึ้นหรือฝ่ายชายทิ้งไปปล่อยให้ฝ่ายหญิงแบกรับภาระและความเครียดทั้งหมด

การทำแท้งเถื่อนที่เพิ่มมากขึ้นแม้ว่าไม่มีตัวเลขที่ชัดเจนแต่จากการรายงานภาวะ แทรกซ้อนจากการทำแท้งเถื่อนของโรงพยาบาลต่างๆ ทำให้คะเนได้ว่าในแต่ละปีมีวัยรุ่นที่ทำแท้งประมาณ 2-3 แสนรายต่อปี นอกจากนี้มารดาวัยรุ่นที่เครียดและหาทางออกของตนเองไม่ได้ก็ทิ้งลูกหรือทำร้ายลูกเช่นฆ่าลูกโดยปรากฎทางหน้าหนังสือพิมพ์ไม่ต่ำกว่า 30 รายต่อปี  การให้องค์ความรู้ ทักษะและการปฎิบัติต่อพฤติกรรมทางเพศหรือเพศศึกษา ยังไม่เข้มแข็ง โดยพบว่าเพศศึกษาในวัยรุ่นเริ่มช้าอายุเฉลี่ยราว 14 ปี ในขณะที่วัยรุ่นได้ข้อมูลส่วนใหญ่จากเพื่อน และสื่อเช่นอินเทอร์เนต ประมาณร้อยละ60  

การรู้จักป้องกันตนเองไม่ว่าจะเป็นการปฏิเสธการมีเพศสัมพันธุ์ หรือการป้องกันโดยการใช้ถุงยางอนามัย (ปัจจุบันพบ่วาวัยรุ่นที่มีเพศสัมพันธุ์ใช้ถุงยางอนามัยเพียงร้อยละ20  ) การใช้ยาคุมกำเนิด ยังอ่อนแอและเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันมากจนทำให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศในลำดับต้นๆของเอเชียที่มีปัยหาวัยรุ่นตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์และวัยรุ่นคลอดลูก ( จากข้อมูลของUNICEF ในปี คศ.2003 พบ่วาค่าเฉลี่ยวัยรุ่นไทยคลอดลูกอยู่ที่ 70 ต่อพันคนของหญิงวัย 15-19 ปี ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น  90 ต่อพัน หรือวันละ เกือบ 200 คน ในขณะที่ค่าเฉลี่ยทั่วทวีปเอเชียอยู่ที่ 56 ต่อพันคนของหญิงวัย 15-19 ปี และค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่  65 ต่อพันคนของหญิงวัย 15-19  ปี )และวัยรุ่นอายุต่ำกว่า 15 ปี เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเมื่อเทียบกับ 2-3 ปีที่ผ่านมา วัยรุ่นที่มีพฤติกรรมเพศสัพันธ์มากกว่า ร้อยละ60 ติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์หรือตั้งครรภ์ภายใน 1 ปีของการมีพฤติกรรมทางเพศสัมพันธ์ ในขณะที่วัยรุ่นกลุ่มนี้โดยส่วนใหญ่เริ่มควานหาความช่วยเหลือเพื่อป้องกันตนเองเมื่อมีพฤติกรรมเพศสัมพันธ์มาแล้ว เกิน 1 ปี แล้วแทบทั้งสิ้น

            นอกจากนี้ปัญหาโรคเอดส์ในวัยรุ่นก็เป็นอีกปัญหาที่น่าสนใจและน่าเป็นห่วง กล่าวคือวัยรุ่นอายุ 15-19 ปี ราว 60,000 คนที่กำลังติดเชื้อเอดส์มาจากพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธุ์โดยขาดการป้องกันและเป็นสาเหตุการตายของวัยรุ่นในลำดับที่ 2  รองจากอุบัติเหตุ  การติดเชื้อทางเพศสัมพันธุ์ก็มีอุบัติการณ์มากในวัยรุ่นอายุ 15-19 ปีเช่นกันไม่ว่าจะเป็นหนองในแท้(Gonorrhea) หรือหนองในเทียม(C.Trachomatis) แม้ว่าหลายรายมักไม่มีอาการแต่หากปล่อยไว้นอกจากจะทำให้การติดต่อของโรคนี้แพร่หลายแล้วยังทำให้เกิดปัญหาสุขภาพของวัยรุ่นเองด้วยเช่น ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบเรื้อรัง  การมีบุตรยาก  ท้องนอกมดลูกรวมไปจนถึงมะเร็งปากมดลูก 

            ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้สำรวจในปีคศ.2003   เชื้อหนองในเทียมในทุกกลุ่มอายุพบว่า วัยรุ่นอายุ 15-19 ปี พบมากที่สุด โดยพบ 2,536   คนต่อประชากรวัยนี้แสนคน และยังสำรวจพบว่าเชื้อหูดหงอนไก่( Human Pappiloma virus) ที่เป็นต้นกำเนิดของการเป็นมะเร็งปากมดลูกก็มีความสำคัญในวัยนี้เช่นกัน กล่าวคือในเด็กวัยรุ่นที่ยังไม่พบเชื้อนี้หากมีเพศสัมพันธุ์โดยขาดการป้องกันภายใน3  ปี พบว่าจะตรวจพบเชื้อนี้ประมาณร้อยละ55 ของวัยรุ่นที่มีพฤติกรรมทางเพศ ซึ่งเป็นอัตราที่สูงมาก แม้ว่าในวัยรุ่นเชื้อนี้โดยส่วนใหญ่ร่างกายสามารถขจัดได้ในระดับหนึ่งแต่ก็ยังมีความสำคัญต่อการเป็นจุดตั้งต้นการเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปากมดลูกได้เช่นกัน

            วัยรุ่น อายุ15-19 ปี มีโอกาสเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มากที่สุดมากกว่าวัยอื่นๆกล่าวคือ ร้อยละ 30 ของผู้ป่วยโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์คือวัยรุ่นอายุ 15-19 ปี นั้นเอง และโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์คือ หนองใน หนองในเทียม เอดส์ เชื้อไวรัสก่อมะเร็งปากมดลูก เป็นต้น

เหตุผลที่วัยรุ่นติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ง่ายมากที่สุดเพราะ

            จำนวนคู่นอนที่มีการเปลี่ยนเร็วและบ่อยมาก

            ความถี่ในการมีเพศสัมพันธ์

            ขาดการป้องกันเช่นการใช้ถุงยางอนามัย

            ลักษณะสรีระของฝ่ายผู้หญิงวัยรุ่นที่อ่อนแอ โดยปากมดลูกเผยอออกเปิดให้รับเชื้อโรคได้ง่ายมาก ประกอบกับสภาพความเป็นกรดที่มีน้อยในช่องคลอดเมื่อเทียบกับช่องคลอดของผู้หญิงที่อายุมากขึ้นทำให้ลดความสามารถในการฆ่าเชื้อโรค

            ขาดการดูแลรักษาอย่างทันทีเพราะอับอายและไม่มีเงินต้องขอพ่อแม่ ซึ่งยิ่งเพิ่มแรงกดดัน

            กลัวความลับถูกเปิดเผยทำให้ไม่อยากแม้แต่การปรึกษาหรือการสร้างทักษะป้องกันตนเอง

ปัญหาทางเพศในเด็กและวัยรุ่น
พัฒนาการเรื่องเพศในเด็กและวัยรุ่น เกี่ยวข้องกับชีวิต ตั้งแต่เด็ก การที่บุคคลได้เรียนรู้ธรรมชาติความเป็นจริงทางเพศ จะช่วยให้มีความรู้ มีทัศนคติ สามารถปรับตัวตามพัฒนาการของชีวิตอย่างเหมาะสม และมีพฤติกรรมถูกต้องในเรื่องเพศ เรื่องเพศสามารถสอนได้ตั้งแต่เด็กยังเล็ก สอดแทรกไปกับการส่งเสริมพัฒนาการด้านอื่นๆ พ่อแม่ควรเป็นผู้สอนเบื้องต้น เมื่อเข้าสู่โรงเรียน ครูช่วยสอนให้สอดคล้องไปกับที่บ้าน เมื่อเด็กเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น ควรส่งเสริมให้เด็กเรียนรู้ด้วยตัวเอง แต่มีแนวทางที่ถูกต้อง ป้องกันปัญหาทางเพศที่อาจเกิดตามมาในวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่

พัฒนาการทางเพศ1-5

การเรียนรู้เรื่องเพศนั้น ประกอบด้วยเนื้อหาตามพัฒนาการ 6 ด้าน ดังนี้

1. การเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย(Human sexual development) ความรู้ความเข้าใจในเรื่องการเจริญเติบโต พัฒนาการทางเพศตามวัย ทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคมที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน

2. สัมพันธภาพ (Interpersonal relation) การสร้างและรักษาความสัมพันธ์กับบุคคลในสังคม การสร้างและรักษาสัมพันธภาพกับเพื่อนเพศเดียวกัและต่างเพศ การเลือกคู่ การเตรียมตัวก่อนสมรส และการสร้างครอบครัว ความสัมพันธ์ระหว่างสามี-ภรรยา พ่อ-แม่-ลูก

3. ทักษะส่วนบุคคล (Personal and communication skills)ความสามารถในการจัดการสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ เช่น ทักษะการสื่อสาร การสร้างความสัมพันธ์ และควบคุมความสัมพันธ์ให้อยู่ในความถูกต้องเหมาะสม ทักษะการปฏิเสธ ทักษะการขอความช่วยเหลือ ทักษะการจัดการกับอารมณ์ ทักษะการตัดสินใจและแก้ปัญหาที่เกี่ยวกับเรื่องเพศ

4. พฤติกรรมทางเพศ (Sexual behaviors) การแสดงออกถึงพฤติกรรมทางเพศหรือบทบาททางเพศ (gender role) ที่เหมาะสมกับบทบาททางเพศและวัย เป็นที่ยอมรับของสังคม ไม่เกิดความเสี่ยงทางเพศ (เช่น เพศสัมพันธ์ในวัยรุ่น เพศสัมพันธ์ที่ปราศจากการป้องการตั้งครรภ์หรือการติดเชื้อ) การสร้างเอกลักษณ์ทางเพศที่เหมาะสม ความเสมอภาคทางเพศ และบทบาททางเพศที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันในสังคมอย่างสมดุล

5. สุขอนามัยทางเพศ (Sexual health) ความรู้ความเข้าใจและสามารถดูแลสุขภาพอนามัยทางเพศได้ตามวัย เช่น การดูแลรักษาอวัยวะในระบบสืบพันธุ์ อนามัยการเจริญพันธุ์ สังเกตการเปลี่ยนแปลงต่างๆและความผิดปกติในลักษณะและหน้าที่ของอวัยวะเพศ การหลีกเลี่ยงอันตรายจากการชอกช้ำ บาดเจ็บ อักเสบ และติดเชื้อ รวมถึงการถูกล่วงเกินทางเพศ

6. สังคมและวัฒนธรรม (Society and culture) ค่านิยมในเรื่องเพศที่เหมาะสมสอดคล้องกับสังคมและวัฒนธรรมไทย การให้เกียรติเพศตรงข้าม การรักนวลสงวนตัว ไม่ปล่อยใจให้เกิดเพศสัมพันธ์โดยง่าย การปรับตัวต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคม โดยเฉพาะจากสื่อที่ยั่วยุทางเพศต่างๆ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ

เป้าหมายของพัฒนาการทางเพศ

พัฒนาการทางเพศ เป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการบุคลิกภาพ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่เด็ก มีความต่อเนื่องไปจนพัฒนาการเต็มที่ในวัยรุ่น หลังจากนั้นเป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพที่ติดตัวตลอดชีวิต เมื่อสิ้นสุดวัยรุ่น มีการเปลี่ยนแปลงต่อไปนี้6-7

1. มีความรู้เรื่องเพศ ตามวัย และพัฒนาการทางเพศ ตั้งแต่ร่างกาย การเปลี่ยนแปลงไปตามวัย และจิตใจสังคม ของทั้งตนเอง และผู้อื่น ทั้งของเพศตรงกันข้าม ความแตกต่างกันระหว่างเพศ

2. มีเอกลักษณ์ทางเพศของตนเอง ได้แก่ การรับรู้เพศตนเอง(core gender) บทบาททางเพศและพฤติกรรมทางเพศ(gender role) มีความพึงพอใจทางเพศหรือความรู้สึกทางเพศต่อเพศตรงข้ามหรือต่อเพศเดียวกัน(sexual orientation)

3. มีพฤติกรรมการรักษาสุขภาพทางเพศ(sexual health) การรู้จักร่างกายและอวัยวะเพศของตนเอง ดูแลรักษาทำความสะอาด ป้องกันการบาดเจ็บ การติดเชื้อ การถูกล่วงเกินละเมิดทางเพศ การป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ

4. ทักษะในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้ที่จะร่วมเป็นคู่ครอง การเลือกคู่ครอง การรักษาความสัมพันธ์นี้ให้ยาวนาน แก้ไขปัญหาต่างๆในชีวิตร่วมกัน การสื่อสาร การมีความสัมพันธ์ทางเพศกับคู่ครองอย่างมีความสุข มี การวางแผนชีวิตและครอบครัว

5. บทบาทในครอบครัว บทบาทและหน้าที่สำหรับการเป็นลูก การเป็นพี่-น้อง และสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว หน้าที่และความรับผิดชอบชอบการเป็นพ่อแม่ ที่ถูกต้องตามกฎหมาย และขนบธรรมเนียมประเพณีและศีลธรรมของสังคมที่อยู่

6. ทัศนคติทางเพศที่ถูกต้อง ภูมิใจพอใจในเพศของตนเอง ไม่รังเกียจหรือปิดบัง ปิดกั้นการเรียนรู้ทางเพศที่เหมาะสม รู้จักควบคุมพฤติกรรมทางเพศให้แสดงออกถูกต้อง ให้เกียรติผู้อื่น ไม่ล่วงละเมิดทางเพศต่อผู้อื่น ยับยั้งใจตนเองไม่ให้มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร



พัฒนาการทางเพศในวัยต่างๆ

การเข้าใจพื้นฐานพัฒนาการทางเพศในเด็กวัยต่างๆ จะช่วยให้ผู้สอน มีแนวทาง และกำหนดวัตถุประสงค์การสอน ให้สอดคล้องกับพัฒนาการทางเพศปกติ ดังนี้ 8-9

วัยแรกเกิด – 1 ปี

เมื่อเด็กคลอดจากครรภ์มารดา เอกลักษณ์ทางกายถูกกำหนดโดยแพทย์ว่าเป็นเพศชายหรือเพศหญิง การกำหนดเพศนี้มีความสำคัญที่ทำให้พ่อแม่และครอบครัว ยอมรับและเลี้ยงดูเด็กไปตามเพศนั้น เด็กที่มีอวัยวะเพศกำกวม อาจถูกกำหนดเพศผิด ถูกเลี้ยงดูผิดเพศไปจนโต

วัยนี้เด็กยังเล็กมาก พัฒนาการทางจิตใจที่สำคัญคือ การแยกแยะตนเองจากสิ่งแวดล้อมเกิดในระยะ 6 เดือนแรกของชีวิต หลังจากนั้นเด็กจะเรียนรู้การเชื่อใจในพ่อแม่ที่ให้ความมั่นใจในชีวิตว่าเมื่อเด็กรู้สึกไม่สบายกายจากความหิว จะได้รับอาหาร เมื่อขับถ่ายจะมีคนมาช่วยทำความสะอาด ความรู้สึกมั่นใจในผู้อื่นนี้ทำให้เด็กเกิดความไว้วางใจในความสัมพันธ์กับผู้อื่น ความรู้สึกที่ดีต่อผู้อื่นและต่อโลก เป็นพื้นฐานสำคัญต่อมนุษยสัมพันธ์ในเวลาต่อมา วัยนี้เด็กต้องการการสัมผัสกอดรัด และการอยู่ใกล้ชิดของพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูอย่างมาก เด็กที่ถูกทอดทิ้งจะขาดความมั่นคงทางอารมณ์ เมื่อโตขึ้นจะขาดความเห็นอกเห็นใจคนอื่น ไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์กับใคร ไม่ไว้วางใจคนอื่น มองโลกในแง่ร้าย เห็นแก่ตัว เรียกร้องความรักจากผู้อื่น แต่ไม่มีความรักความเสียสละให้ใคร

เด็กอายุขวบปีแรก เริ่มแยกตัวเองจากสิ่งแวดล้อม Simund Freud ให้ความหมายของ sex หรือความพึงพอใจเด็กวัยนี้ อยู่ที่ปาก (oral phase) เนื่องจากประสาทสัมผัสที่ปากมีความไวมาก

· 6 เดือนแรก มีความพึงพอใจจากการใช้ปากดูดและกินนม

· 6 เดือนหลังของปีแรก เด็กพอใจใช้ปากกัด

บทบาทของพ่อแม่ 6 เดือนแรก ควรตอบสนองความต้องการทางปากของเด็ก เมื่อเด็กร้องเพราะหิว ให้ตอบสนองตามความต้องการ แต่ใน 6 เดือนหลัง เมื่อเด็กร้องเพราะหิว ให้ฝึกเด็กให้รู้จักการอ เริ่มจากทีละน้อย



วัย1-3 ปี

วัยนี้เด็กเริ่มเคลื่อนไหวได้มากขึ้น เดินได้ เริ่มซนและสำรวจสิ่งแวดล้อม

Simund Freud ให้ความหมายของ sex หรือความพึงพอใจเด็กวัยนี้ เปลี่ยนจากที่ปากมาอยู่ที่ทวารหนัก (anal phase) เด็กเริ่มควบคุมการขับถ่ายได้ สำรวจอวัยวะเพศตนเอง และอาจเพลิดเพลินกับการเล่นอวัยวะเพศถ้าเหงาหรืออยู่คนเดียว เด็กยังไม่มีความรู้สึกทางเพศ แต่การกระตุ้นอวัยวะเพศทำให้รู้สึกเสียวเพลินจนติดเป็นนิสัยได้

เมื่อเด็กอายุ 2 ขวบเด็กเริ่มเรียนรู้ว่าตนเองเป็นเพศใด โดยเรียนรู้จากการที่พ่อแม่เรียก และกำหนดบทบาทให้ตามเพศ ได้แก่ การแต่งกาย การเล่น ของเล่น การเรียกชื่อ สรรพนาม เริ่มสามารถแยกเพศตนเองได้ รู้ว่าตนเองเป็นเพศหญิงหรือชาย จากการบอกกล่าวจากพ่อแม่และสิ่งแวดล้อม การรู้จักเพศตนเองว่าเป็นเพศใด ตรงตามลักษณะทางร่างกาย เรียกว่าเด็กมี core gender เป็นของตนเอง เมื่อเด็กอายุ 3 ปีสามารถบอกผู้อื่นได้ว่าตนเองเป็นเพศใด แยกแยะความแตกต่างของอวัยวะเพศได้

บทบาทของพ่อแม่ สอนให้เด็กรู้ว่าเป็นเพศใด ตรงตามความเป็นจริง ผู้ใหญ่ไม่ควรล้อเลียนให้เด็กอายในเรื่องเพศ หรือแสดงให้เห็นว่าเพศใดดีกว่ากัน ไม่ควรหลอกหรือขู่เด็กว่าจะตัดอวัยวะเพศเพราะอาจทำให้เด็กกลัวจริงๆ และเกิดทัศนคติทางลบฝังใจต่อเรื่องเพศไปจนโต

วัยนี้เด็กต้องการการฝึกควบคุมตนเอง ซึงเป็นพื้นฐานของระเบียบวินัย และการควบคุมตัวเองเรื่องเพศในระยะต่อมา

พ่อแม่สามารถสื่อสารด้วยคำพูดกับเด็กได้มากขึ้น ควรเริ่มต้นปลูกฝังระบบจริยธรรมในชีวิตเด็กตั้งแต่วัยนี้ โดยสอนและกำกับให้เด็กอยู่ในกฎเกณฑ์และความปลอดภัย ไม่ตามใจเกินไป การให้เด็กสำรวจเรียนรู้จากการเล่นในกรอบที่ถูกต้อง ช่วยให้เด็กมีเหตุผล เข้าใจความเป็นไปของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และปฏิบัติตามกฎกติกาของสังคม



วัย3-6 ปี

เด็กอายุ 3-6 ปี เริ่มสนใจและอยากรู้เรื่องเพศ เลียนแบบพฤติกรรมทางเพศจากพ่อหรือแม่เพศเดียวกัน เพลิดเพลินกับการเล่นและสำรวจเรื่องทางเพศ

Simund Freud ให้ความหมายของ sex หรือความพึงพอใจเด็กวัยนี้ เปลี่ยนจากที่ทวารหนัก มาอยู่ที่อวัยวะเพศตนเอง(oedepus complex) เด็กชายจะหวงแม่และเกรงกลัวพ่อ แต่พยายามเลียนแบบพ่อเพื่อให้เป็นพวกเดียวกันและเป็นที่ยอมรับของพ่อ แต่ก็ยังเกรงกลัวว่าอวัยวะเพศตนเองจะถูกตัด(castration anxiety) เพศหญิงจะหวงพ่อและเกรงกลัวแม่ แต่เลียนแบบแม่เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของแม่เช่นกัน ความรู้สึกว่าตนเองไม่มีอวัยวะเพศชายทำให้เด็กผู้หญิงเกิดความอิจฉาที่เรียกว่า penis envy การถ่ายทอดแบบอย่างทางเพศของทั้งชายและหญิงนี้จะกำหนดให้เด็กมีบทบาททางเพศ (gender role)อย่างถูกต้อง เด็กเรียนรู้บทบาททางเพศจากครอบครัวเป็นหลัก และเรียนรู้เสริมที่โรงเรียน และสังคมภายนอก การเล่นในวัยนี้อาจไม่ตรงตามเพศ (เด็กผู้ชายอาจเล่นตุ๊กตา เด็กผู้หญิงอาจเตะฟุตบอล) การเล่นของเล่นที่ไม่ตรงตามเพศนี้จะน้อยลงเมื่อเข้าสู่วัยเรียน โดยค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นการเล่นที่ตรงกับเพศตนเองมากขึ้น

เด็กมีความสนใจเรื่องเพศมาก อยากรู้อยากเห็น สำรวจตนเองและผู้อื่นเรื่องเพศ อาจมีพฤติกรรมกระตุ้นตนเองทางเพศ เล่นอวัยวะเพศตนเอง จนอาจติดเป็นนิสัยได้

วัยนี้เด็กอยากรู้อยากเห็นเรื่องเพศมาก อาจมีคำถามเกี่ยวกับเพศบ่อยๆ ผู้ใหญ่ควรตอบให้เด็กเข้าใจสั้นๆ ไม่ควรบ่ายเบี่ยงหรือตอบไม่ตรงความจริง เพราะอาจทำให้เด็กสับสนและคงอยากรู้อยากเห็นต่อไปอีก เด็กอาจมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมทางเพศ เช่นแอบดูเด็กอื่นในห้องน้ำ เปิดกระโปรงแม่หรือเด็กอื่น ผู้ใหญ่ควรเอาจริงแต่นุ่มนวลโดยห้ามอย่างสงบ อธิบายสั้นๆให้เด็กเข้าใจว่าพฤติกรรมอย่างใดไม่เป็นที่ยอมรับ

บางครั้งเด็กแสดงพฤติกรรมทางเพศตามแบบอย่างที่เด็กเห็นมาจากบ้าน เช่น เด็กที่เห็นผู้ใหญ่มีเพศสัมพันธ์กันอาจแสดงท่าทางร่วมเพศกับเด็กอื่น ถ้าเกิดขึ้นผู้ใหญ่ควรห้าม จัดการให้เด็กหยุดด้วยท่าทางจริงจัง แต่นุ่มนวล และเบนความสนใจไปที่กิจกรรมอื่น ให้เด็กอยู่ในสายตาจนไม่เกิดพฤติกรรมนี้อีก ตรวจสอบว่าพ่อแม่อาจให้เด็กนอนด้วยและเห็นพ่อแม่มีเพศสัมพันธ์กันหรือไม่ ควรแนะนำพ่อแม่ให้แยกห้องนอนเด็ก และระมัดระวังอย่าให้เด็กได้เห็นการมีเพศสัมพันธ์กันของผู้ใหญ่

บทบาทของพ่อแม่ ควรเป็นแบบอย่างทางเพศที่ถูกต้อง วัยนี้ควรเริ่มสอนให้เด็กรักษาความสะอาดอวัยวะเพศ ป้องกันตัวเองทางเพศ ปฏิเสธไม่ไปไหนกับคนอื่น ปฏิเสธคนแปลกหน้ามาสัมผัสอวัยวะเพศตนเอง ส่งเสริมบทบาททางเพศที่เหมาะสม ได้แก่การแต่งกาย การเล่น พ่อควรใกล้ชิดลูกชาย แม่ควรใกล้ชิดลูกสาว วัยนี้เด็กเริ่มมีเหตุผลและควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น ต้องการทำตัวดีเพื่อให้เป็นที่ยอมรับ ต้องการอยู่ในกลุ่ม หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้ถูกลงโทษ หรือไม่ยอมรับจากผู้ใหญ่ วัยนี้สามารถอธิบายเหตุผลได้สั้นๆ ง่ายๆ มีตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมประกอบ



วัย 6-12 ปี

วัยนี้ยังไม่มีอารมณ์เพศหรือความรู้สึกทางเพศ Simund Freud ให้ความหมายของ sex หรือความพึงพอใจเด็กวัยนี้ว่าไม่แสดงออกชัดเจน เรียกว่าระยะแฝงตัว (latency phase) เด็กเล่นเป็นกลุ่มเฉพาะเพศเดียวกัน เด็กเรียนรู้บทบาททางเพศจากการสังเกตและเลียนแบบพ่อแม่ญาติพี่น้อง ในครอบครัว เพื่อน ครู เพื่อนบ้านและคนอื่นๆในสังคม เด็กผู้ชายที่มีลักษณะค่อนข้างไปทางหญิง เช่น เรียบร้อย ไม่เล่นซน มักถูกกีดกันจากกลุ่มเด็กผู้ชาย จะหันไปสนิทสนมกับเด็กผู้หญิง และอาจมีพฤติกรรมเป็นหญิงมากขึ้น ทำให้ถูกกีดกันจากเด็กผู้ชายมากขึ้น ในตอนปลายวัยนี้เด็กบางคนเข้าสู่วัยรุ่นเร็วกว่าเด็กอื่นๆ การเรียนรู้เรื่องการเข้าสู่วัยรุ่นจึงควรเริ่มมีเพื่อเตรียมตัวเด็กต่อการเปลี่ยนแปลงเช่น การมีประจำเดือนในเด็กผู้หญิง

บทบาทของพ่อแม่ ควรส่งเสริมกิจกรรมที่เหมาะสมกับเพศ ให้เด็กเป็นที่ยอมรับของเพื่อนเพศเดียวกัน เด็กที่มีพฤติกรรมผิดเพศ ควรแก้ไขโดยเร็ว โดยการให้เด็กอยู่และร่วมกิจกรรมในกลุ่มเพศเดียวกันเอง ให้พ่อแม่เพศเดียวกันใกล้ชิดเด็กมากขึ้น พ่อแม่ต่างเพศให้ห่างออกไปไม่ควรใกล้ชิดมากเหมือนเดิม จัดกิจกรรม หรือส่งเสริมกิจกรรมเหมาะสมตามเพศ



วัย 12-18 ปี 10

เด็กอายุ 12 ปี เริ่มเข้าสู่วัยรุ่น มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจสังคม และทางเพศอย่างมาก มีความรู้สึกและความต้องการทางเพศ มีเอกลักษณ์ทางเพศ มีความพึงพอใจทางเพศ (sexual orientation) Simund Freud ให้ความหมายของ sex หรือความพึงพอใจเด็กวัยรุ่นนี้มาอยู่ที่อวัยวะเพศ (genital phase)

พัฒนาการทางร่างกาย ( Physical development ) มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายทั่วไป และการเปลี่ยนแปลงทางเพศ เนื่องจากวัยนี้ มีการสร้างและหลั่งฮอร์โมนเพศและฮอร์โมนของการเจริญเติบโตอย่างมากและรวดเร็ว ร่างกายเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว แขนขายาวขึ้นก่อนการเปลี่ยนแปลงอื่นประมาณ 2 ปี เพศหญิงมีไขมันมากกว่าชาย ชายมีกล้ามเนื้อมากกว่าทำให้เพศชายแข็งแรงกว่า

การเปลี่ยนแปลงทางเพศ(Sexual changes)ที่เห็นได้ชัดเจน คือวัยรุ่นชายเกิดนมขึ้นพาน(หัวนมโตขึ้นเล็กน้อย กดเจ็บ) เสียงแตก หนวดเคราขึ้น และเริ่มมีฝันเปียก ( nocturnal ejaculation – การหลั่งน้ำอสุจิในขณะหลับ มักสัมพันธ์กับความฝันเรื่องเพศ) การเกิดฝันเปียกครั้งแรกเป็นสัญญาณวัยรุ่นของเพศชาย ส่วนวัยรุ่นหญิงเป็นสาวขึ้น เต้านมมีขนาดโตขึ้น ไขมันที่เพิ่มขึ้นทำให้มีรูปร่างทรวดทรง สะโพกผายออก และเริ่มมีประจำเดือนครั้งแรก ( menarche) การมีประจำเดือนครั้งแรก เป็นสัญญาณเข้าสู่วัยรุ่นในหญิง ทั้งสองเพศมีการเปลี่ยนแปลงของอวัยวะเพศ ขนาดโตขึ้น และเปลี่ยนเป็นแบบผู้ใหญ่ มีขนขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ มีกลิ่นตัว มีสิวขึ้น

พัฒนาการทางจิตใจ (Psychological Development) วัยนี้สติปัญญาพัฒนาสูงขึ้น จนมีความคิดเป็นแบบรูปธรรม ความสามารถเรียนรู้ เข้าใจเหตุการณ์ต่างๆ มีลึกซึ้ง มีความสามารถในการคิด วิเคราะห์ และสังเคราะห์ สิ่งต่างๆได้มากขึ้นตามลำดับ สามารถคิดได้ดี คิดเป็น คิดหลายด้าน ทำให้สามารถตัดสินใจได้ ความสามารถทางสติปัญญาเพิ่มมากขึ้นจนเหมือนผู้ใหญ่ แต่ในช่วงระหว่างวัยรุ่นนี้ ยังขาดประสบการณ์ ขาดความรอบคอบ มีความหุนหันพลันแล่น ขาดการยั้งคิดหรือไตร่ตรอง ทำอะไรวู่วามหรือทำด้วยความอยากตามสัญชาติญาณ หรือตามความต้องการทางเพศที่มีมากขึ้น พัฒนาการทางจิตใจจะช่วยให้วัยรุ่น มีการยั้งคิด ควบคุม และปรับตัว (adjustment) ต่อสิ่งแวดล้อมได้ดีในเวลาต่อมา

เอกลักษณ์ (identity) วัยรุ่นเริ่มแสดงออกถึงสิ่งตนเองชอบ สิ่งที่ตนเองถนัด ซึ่งแสดงถึงความเป็นตัวตนของเขาที่โดดเด่น ได้แก่ วิชาที่เขาชอบเรียน กีฬาที่ชอบเล่น งานอดิเรก การใช้เวลาว่างให้เกิดความเพลิดเพลิน กลุ่มเพื่อนที่ชอบและสนิทสนมด้วย โดยเขาจะเลือกคบคนที่มีส่วนคล้ายคลึงกัน หรือเข้ากันได้ และเกิดการเรียนรู้และถ่ายทอดแบบอย่างจากกลุ่มเพื่อนนี้เอง ทั้งแนวคิด ค่านิยม ระบบจริยธรรม การแสดงออกและการแก้ปัญหาในชีวิต จนสิ่งเหล่านี้กลายเป็นเอกลักษณ์ของตน และกลายเป็นบุคลิกภาพนั่นเอง วัยนี้จะมีเอกลักษณ์ทางเพศ(sexual identity)ชัดเจนขึ้น ประกอบด้วย การรับรู้ว่าตนเองเป็นเพศใด(core gender identity)ซึ่งติดตัวเด็กมาตั้งแต่อายุ 3 ปีแล้ว พฤติกรรมที่แสดงออกทางเพศ(gender role)คือพฤติกรรมซึ่งเด็กแสดงออกให้ผู้อื่นเห็นได้แก่ กิริยาท่าทาง คำพูด การแต่งกาย เหมาะสมและตรงกับเพศตนเอง และ ความรู้สึกพึงพอใจทางเพศ(sexual orientation) คือความรู้สึกทางเพศกับเพศใด ทำให้วัยรุ่นบอกได้ว่าตนเองชอบทางเพศกับเพศเดียวกัน(homosexualism) กับเพศตรงข้าม(heterosexualism) หรือได้กับทั้งสองเพศ(bisexualism)

ความพึงพอใจทางเพศนี้ เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ การแก้ไขเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ทำได้ยาก วัยรุ่นจะรู้ด้วยตัวเองว่า ความพึงพอใจทางเพศของตนแบบนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ จะเปลี่ยนแปลงได้เฉพาะการแสดงออกภายนอก ไม่ให้แสดงออกผิดเพศมากจนเป็นที่ล้อเลียนกลั่นแกล้งของเพื่อนๆ

วัยนี้ต้องการการยอมรับจากกลุ่มเพื่อนอย่างมาก(acceptance) อยากเด่นอยากดัง อยากให้มีคนรู้จักมากๆ อยากเป็นที่ชื่นชม ชื่นชอบของคนอื่นๆ อาจแสดงออกเป็นพฤติกรรมทางเพศไม่เหมาะสม เช่น การแต่งกายยั่วยวนทางเพศ เพื่อให้เป็นที่สนใจของเพศตรงข้าม วัยรุ่นที่เป็นรักร่วมเพศอาจแสดงออกผิดเพศมากขึ้น เพื่อให้เป็นที่สนใจและยอมรับ หรือเมื่อถูกกีดกันจากเพศเดียวกัน ก็อาจจับกลุ่มพวกที่แสดงออกผิดเพศเหมือนกัน เป็นการแสวงหากลุ่มที่ยอมรับ ทำให้เห็นการแสดงออกผิดเพศมากขึ้น

การเปลี่ยนแปลงทางเพศในวัยนี้ตามปกติ ทำให้เด็กรู้สึกความภาคภูมิใจตนเอง (self esteem) ในทางตรงข้ามเด็กที่เปลี่ยนแปลงช้า หรือไม่มีลักษณะเด่นทางเพศอาจเสียความภูมิใจในตนเอง เสียความมั่นใจตนเอง (self confidence) วัยรุ่นบางคนไม่มีข้อดีข้อเด่นด้านใดเลย อาจแสดงออกทางเพศมากขึ้นเพื่อให้ตนเองรู้สึกภูมิใจในตนเอง หรือบางคนมีแฟนเร็วหรือมีเพศสัมพันธ์เร็วเพื่อทำให้รู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า มีคนต้องการ มีคนทำดีด้วย วัยรุ่นที่มีปัญหาครอบครัวจึงมักมีพฤติกรรมทางเพศเร็ว เช่นมีแฟน มีเพศสัมพันธ์ เพื่อชดเชยหรือทดแทนความรู้สึกเบื่อ เหงา ไร้ค่า เมื่อมีเพศสัมพันธ์แล้ว ก็ยิ่งรู้สึกตนเองไม่มีคุณค่ามากขึ้น บางคนใช้เรื่องเพศเป็นสะพานสู่ความต้องการทางวัตถุ ได้เงินตอบแทน หรือโอ้อวดเพื่อนๆว่าเป็นที่ดึงดูดใจของเพศตรงข้ามมาก

วัยรุ่นบางคนขาดกรอบที่ใช้เป็นหลักในการควบคุมตนเอง วัยนี้มีความเป็นตัวของตัวเองสูง (independent : autonomy) รักอิสระ เสรีภาพ ไม่ค่อยชอบอยู่ในกฎเกณฑ์กติกาใดๆ ชอบคิดเอง ทำเอง พึ่งตัวเอง เชื่อความคิดตนเอง ความอยากรู้อยากเห็นอยากลองมีมาก มีปฏิกิริยาตอบโต้ผู้ใหญ่ที่บีบบังคับสูง ทำให้อาจเกิดพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ เช่น การแต่งกาย การเที่ยวกลางคืน ดื่มเหล้าหรือเสพยาเสพติด เพศสัมพันธ์ การจัดขอบเขตในวัยรุ่นจึงต้องให้พอดี ถ้าห้ามมากเกินไป วัยรุ่นอาจแอบทำนอกสายตาผู้ใหญ่ แต่ถ้าปล่อยปละละเลยเกินไปจะเกิดพฤติกรรมเสี่ยง การฝึกสอนการควบคุมตัวเองจึงต้องอาศัยความสัมพันธ์ที่ดี ฝึกให้คิดด้วยตัวเอง เปิดโอกาสให้วัยรุ่นเรียนรู้ แต่อยู่ในขอบเขต

การควบคุมตนเอง (self control) วัยนี้ควรฝึกเรียนรู้การควบคุมความคิด ยั้งความคิดและความรู้สึกทางเพศหรือความต้องการทางเพศ ห้ามใจไม่ให้มีเพศสัมพันธ์ วัยนี้ควรสอนให้ควบคุมตนเองโดยให้เกิดการควบคุมจากใจตนเอง ให้รู้ว่าถ้าไม่ควบคุมจะเกิดข้อเสียอะไรบ้าง ถ้าควบคุมจะมีข้อดีอย่างไร การฝึกให้วัยรุ่นใช้สมองส่วนคิดมาก ทำให้เกิดการคิดก่อนทำ ไตร่ตรองอย่างรอบคอบ สมอง ส่วนคิดจะมาควบคุมสมอง ส่วนอยากหรือควบคุมด้านอารมณ์เพศได้มากขึ้น

อารมณ์วัยรุ่นที่ปั่นป่วน เปลี่ยนแปลง หงุดหงิด เครียด โกรธ กังวล ซึมเศร้าโดยไม่มีสาเหตุ อาจเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาทางเพศ เช่นวัยรุ่นบางคนอาจหันไปใช้กิจกรรมที่ช่วยลดความเครียดหรือเพิ่มความสนุกสนานแต่เกิดปัญหาตามมา ได้แก่ การมีแฟน มีเพศสัมพันธ์ การใช้เหล้าและยาเสพติด

อารมณ์เพศเกิดขึ้นวัยนี้มาก ทำให้มีความสนใจเรื่องทางเพศ หรือมีพฤติกรรมทางเพศ เช่นการมีเพื่อนต่างเพศ การดูสื่อยั่วยุทางเพศรูปแบบต่าง การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติในวัยนี้สามารถมีได้แต่ควรให้มีพอควร ไม่หมกมุ่นหรือปล่อยให้มีสิ่งแวดล้อมกระตุ้นทางเพศมากเกินไป วัยนี้อาจแสดงพฤติกรรมทางเพศบางอย่างอาจเป็นปัญหา เช่น เบี่ยงเบนทางเพศ กามวิปริต หรือการมีเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่น การฝึกให้วัยรุ่นเข้าใจ ยอมรับ และจัดการอารมณ์เพศอย่างถูกต้องดีกว่าปล่อยให้วัยรุ่นเรียนรู้เอง

จริยธรรม (moral development) วัยนี้สามารถพัฒนาให้มีจริยธรรม แยกแยะความผิดชอบชั่วดีได้ เริ่มมีระบบมโนธรรมของตนเอง เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นตอนปลาย การควบคุมตนเองจะดีขึ้น จนเป็นระบบจริยธรรมที่สมบูรณ์เหมือนผู้ใหญ่ คือรู้ว่าอะไรไม่ควรทำ และสามารถควบคุมตนเองได้ด้วย จริยธรรมวัยนี้เกิดจากการเรียนรู้ที่สัมพันธ์กับคนใกล้ชิด คือพ่อแม่ ครู และเพื่อน การมีแบบอย่างที่ดีช่วยให้วัยรุ่นมีจริยธรรมที่ดีด้วย เพื่อนมีอิทธิพลสูงในการสร้างทัศนคติค่านิยมและจริยธรรม ถ้าเพื่อนไม่ดี อาจชักจูงให้เด็กขาดระบบจริยธรรมที่ถูกต้อง โดยเฉพาะจริยธรรมทางเพศ วัยรุ่นที่อยู่ในกลุ่มที่เห็นว่าการมีเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่นเป็นเรื่องปกติ จะมีเพศสัมพันธ์สูงกว่าวัยรุ่นทั่วไปอื่นๆ

จริยธรรมทางเพศในวัยรุ่นนี้ ควรให้เกิดความเข้าใจต่อเพศตรงข้าม ให้เกียรติ และยับยั้งใจทางเพศ ไม่ละเมิดหรือล่วงเกินผู้อื่น ทางเพศ

พัฒนาการทางสังคม (Social Development) วัยนี้เริ่มห่างจากทางบ้าน ไม่ค่อยสนิทสนมคลุกคลีกับพ่อแม่พี่น้องเหมือนเดิม แต่สนใจเพื่อนและเพศตรงข้าม สร้างความสัมพันธ์กับคนที่พึงพอใจทางเพศ และรักษาความสัมพันธ์ให้ยืนยาวจนตกลงร่วมเป็นคู่ครอง และสร้างครอบครัวให้ยืนยาวต่อไปได้

บทบาทของพ่อแม่ เป็นแบบอย่างทางเพศ สอนเรื่องการเปลี่ยนแปลง ทางร่างกายและจิตใจอารมณ์ การจัดการกับอารมณ์เพศ มีบทบาททางเพศที่เหมาะสม และการยับยั้งชั่งใจทางเพศ


จาก : https://sites.google.com/site/wachirasenarat/home

แบบฝึกหัด
1.             นักเรียนคิดว่าข้อใดให้ความหมายของเพศศึกษาชัดเจนที่สุด
1.             การสอนหรือการให้การศึกษาเกี่ยวกับเรื่องเพศ
2.             การศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมต่างๆของมนุษย์ในเรื่องระบบการสืบพันธุ์
3.             การศึกษาเกี่ยวกับการสืบพันธุ์ และความเข้าใจในพฤติกรรมระหว่างเพศ
 
2.             นักเรียนคิดว่าเพศศาสตร์คืออะไร
1.             การสอนเกี่ยวกับลักษณะทางร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ของมนุษย์
2.             ศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องการควบคุมพฤติกรรมทางเพศ และความสัมพันธ์ระหว่างสองเพศ
3.             ศาสตร์หรือวิทยาการที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมทางเพศของมนุษย์
 
3.             ตามแนวคิดของอีริก ความรักประกอบไปด้วยส่วนสำคัญ 4 ส่วน นักเรียนคิดว่ามีอะไรบ้าง
1.             ความเข้าใจ ความเคารพ ความจริงใจ ความรับผิดชอบ
2.             ความเข้าใจ ความเคารพ ความอุตสาหะ ความรับผิดชอบ
3.             ความเข้าใจ ความเคารพ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความรับผิดชอบ
 
4.             นักเรียนคิดว่าส่วนหนึ่งของความรัก คือ ความเข้าใจ (Understanding) มีความหมายว่าอย่างไร
1.             ความเห็นใจและการเอาใจเขามาใส่ใจเรา
2.             การเตรียมพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือต่อคนรักของตนตลอดเวลา
3.             ความเต็มใจที่จะทุ่มเทกำลังกายกำลังใจ เพื่อคนรักของตนตลอดเวลา
 
5.             นักเรียนคิดว่าข้อใดเป็นฮอร์โมนเพศชาย
1.             ICSH และ FSH
2.             Pituitary และ FSH
3.             ICSH และ Testosterone

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ3 มีนาคม 2565 เวลา 18:56

    ฉันไม่เคยคิดว่าจะหายจากโรคเริมอีกเลย ฉันเป็นโรคเริมตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว จนกระทั่งวันหนึ่งฉันได้ไปค้นคว้าทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งฉันเห็นคนให้การว่าหมอโอกาลาช่วยเขารักษาโรคเริมได้อย่างไร ยาสมุนไพรธรรมชาติของเขา ฉันประหลาดใจมากเมื่อเห็นคำให้การ และฉันต้องติดต่อแพทย์สมุนไพร (ดร.โอกาลา) ทางอีเมลซึ่งผู้หญิงคนนั้นแนะนำให้กับทุกคนที่อาจต้องการความช่วยเหลือด้วย ข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้งใจอย่างยิ่งกับชายผู้นี้เพราะเขาได้ฟื้นฟูสุขภาพและทำให้ข้าพเจ้ามีความสุขอีกครั้ง ใครก็ตามที่อาจประสบปัญหาเดียวกันโปรดติดต่อ Dr Ogala ทางอีเมล: ogalasolutiontemple@gmail.com หรือ WhatsApp +2349123794867

    ตอบลบ